
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดผลตรวจสอบธุรกิจเสี่ยงเป็นนอมินี 165 ราย จากทั้งหมด 2.6 หมื่นราย เดินหน้าสอบเชิงลึกเพิ่ม พร้อมขยายขอบเขตตรวจสอบอีก 5 สาขา ค้าส่ง-ค้าปลีก คลังสินค้า ก่อสร้าง วิศวกรรม ค้าเหล็ก เร่งประสาน แพลตฟอร์ม TEMU จดทะเบียน ตั้งสาขาในไทย
วันที่ 29 สิงหาคม 2567 นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยถึงความคืบหน้าการตรวจสอบคนไทยถือหุ้นแทนต่างชาติในการประกอบธุรกิจ (นอมินี) ว่าตั้งแต่ต้นปี 2567 กรมร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ตรวจสอบนอมินีและลงพื้นที่ตรวจสอบธุรกิจเป้าหมายจำนวน 26,019 ราย ใน 4 กลุ่มธุรกิจ คือ 1.ภัตตาคาร ร้านอาหาร 2.ค้าที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ 3.โรงแรม รีสอร์ต และ 4.ขนส่ง โลจิสติกส์ ในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ชลบุรี ภูเก็ต ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี และกรุงเทพฯ
โดยได้ติดตามงบการเงิน สถานที่ตั้ง ตามการประกอบธุรกิจ พร้อมออกหนังสือให้ นิติบุคคลชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจและการลงทุน ทั้งหมด 498 ราย ซึ่งผลการคัดกรองธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าข่ายการเป็นนอมินี และต้องตรวจสอบเชิงลึกเพิ่มเติม 165 ราย ส่วนที่เหลือ 333 รายไม่มีความผิดปกติ
ล่าสุด กรมได้ขยายขอบเขตการตรวจสอบการประกอบธุรกิจนอมินีในธุรกิจเป้าหมาย 5 ธุรกิจ คือ ค้าส่ง-ค้าปลีก, คลังสินค้า, ก่อสร้าง, วิศวกรรม และค้าเหล็ก ซึ่งเป็นการหารือและพูดคุยกับผู้ประกอบการธุรกิจ ซึ่งเห็นว่ากลุ่มธุรกิจดังกล่าวเข้าข่ายให้มีการตรวจสอบ
ภายหลังจาก นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมแก้ปัญหาการนำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าไม่ได้มาตรฐานและราคาต่ำจากต่างประเทศ ร่วมกับผู้บริหารระดับสูงจาก 28 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา และได้มอบให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมการค้าต่างประเทศ เป็นฝ่ายเลขานุการ พร้อมตั้งศูนย์เฉพาะกิจป้องกันและปราบปรามสินค้าและธุรกิจฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งมีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยหากสงสัยหรือมีข้อมูลสามารถส่งข้อมูลมาให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ เพื่อที่จะดำเนินการตรวจสอบเชิงลึกต่อไป และกรมก็พร้อมที่จะประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ตรวจสอบด้วย
“การตรวจสอบธุรกิจก็พิจารณาถึงพฤติกรรมของการทำธุรกิจ หรือมีการทำนิติกรรมอำพรางหรือไม่ หากพบสามารถแจ้งได้ ปัจจุบันนี้ยังไม่ได้รับการแจ้งข้อมูลมาแต่อย่างไร”
สำหรับกรณี TEMU ซึ่งที่ประชุมให้มีการจดทะเบียนนั้น เบื้องต้นกระทรวงพาณิชย์ได้มีการประสานไปทางสถานทูตจีน ให้รับทราบว่าหากเป็นไปได้อยากได้รับความร่วมมือ ในการเข้ามาจดทะเบียน ตั้งสาขาที่ประเทศไทย เนื่องจากผู้บริโภคที่ใช้บริการได้รับความเดือดร้อน ก็จะสามารถประสานงานได้สะดวก อย่างไรก็ดี ยังอยู่ระหว่างที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและกำหนด พร้อมติดตามว่าสามารถกำหนดเงื่อนไขได้หรือไม่ และแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อไป