
สนั่น ประธานกรรมการหอการค้าไทยฯ ร่วมกับเอกชน เตรียมยื่นสมุดปกขาวให้นายกฯสัปดาห์หน้า และเห็นสอดคล้องกับกระทรวงพาณิชย์ 10 นโยบาย แต่วอนหน่วยงานรัฐเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ แก้หนี้ในและนอกระบบ ดูแลค่าเงินบาท หลังแข็งค่าเร็วแรง 8-10% หวั่นกระทบภาคส่งออก การลงทุน จี้ ธปท.ลดดอกเบี้ย ส่วนการเดินหน้าโครงการดิจิทัล 10,000 บาท เชื่อกระตุ้นการจับจ่ายทันที หนุนจีดีพีปี 2567 โต 2.6-2.8%
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หอการค้าไทยและตัวแทนภาคเอกชนเตรียมเข้ายื่นสมุดปกขาวต่อ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ภายในอาทิตย์หน้า พร้อมกันนี้ยังเห็นว่า 10 นโยบายที่กระทรวงพาณิชย์ได้ประกาศออกมา อาทิ นโยบายลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และขยายโอกาส การแก้ข้อจำกัดของกฎหมายและปรับปรุงข้อกฎหมายที่ล้าสมัย การเร่งเจรจา FTA ซึ่งตรงกับข้อเสนอและแนวทางของหอการค้าไทยที่อยู่ระหว่างดำเนินการควบคู่ไปกับรัฐบาล
โดยเฉพาะ 3 มาตรการสำคัญ คือ 1) มาตรการที่กระทบต่อคนส่วนใหญ่ ทั้งการลดค่าใช้จ่าย มาตรการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านเงิน 1 หมื่นบาท
2) มาตรการสำหรับผู้ประกอบการ โดยการเร่งแก้หนี้ ทั้งหนี้ในระบบและนอกระบบ รัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการเข้ามาช่วยเหลือ นอกจากนี้ ยังต้องเร่งขยายตลาดต่างประเทศดึงดูดการลงทุนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ หอการค้าไทย มีแผนที่จะเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อพูดคุยและหาแนวทางที่เหมาะสมต่อไป
และ 3) นโยบายเฉพาะสำหรับแต่ละกลุ่ม เช่น ภาคการเกษตร ควรมีจัดทำศูนย์ประสานงานสินค้าภาคเกษตรที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงความต้องการของตลาดกับสินค้า ขณะเดียวกันเตรียมข้อเสนอแก้ไขปัญหาสินค้าต่างประเทศที่เข้ามาทุ่มตลาด การส่งเสริม Green Industry ที่ไม่ใช่เฉพาะสินค้า แต่รวมถึงภาคการค้าและบริการด้วย
อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญรัฐบาลจำเป็นต้องเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 และ 2568 โดยเฉพาะงบฯการลงทุนและก่อสร้าง ซึ่งจะช่วยให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่
ด้านนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ คนที่ 1 หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากขึ้น 8-10% ว่า กระทบต่อภาคการส่งออก และภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ เพราะเมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้น ค่าใช้จ่ายสำหรับนักท่องเที่ยวก็จะสูงขึ้น การจับจ่ายใช้สอยจะน้อยลง เพราะรู้สึกว่าสินค้าและบริการแพงขึ้นกว่าปกติ
นอกจากนี้ยังกระทบต่อต้นทุนวัตถุดิบ ปัจจัยการผลิตในอุตสาหกรรมสูงขึ้น 10% โดยมีโอกาสทำให้ความสามารถการแข่งขันของไทยลดลง ดังนั้น หอการค้าไทยจึงต้องการให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ ไม่ผันผวนอย่างรุนแรงจนเกินไป
ขณะที่นางกอบสุข เอี่ยมสุรีย์ กรรมการรองเลขาธิการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกกิตติศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่า เมื่อเทียบกับคู่แข่ง ได้แก่ เวียดนาม อินเดีย และปากีสถาน ไทยมีค่าเงินแข็งค่าสูงที่สุด ซึ่งส่งผลต่อการแข่งขันและการส่งออกข้าวไทย หากค่าเงินบาทแข็งค่าเพิ่มขึ้น 1 บาท ก็จะทำให้ข้าวไทยเพิ่มขึ้น 15 เหรียญสหรัฐต่อตัน
ทั้งนี้ ในปี 2568 อินเดียจะเริ่มมีการส่งออกข้าว จะมีผลต่อราคาในตลาดโลกอ่อนตัวลง ประกอบกับค่าเงินของอินเดียที่อ่อนค่า การส่งออกข้าวปีหน้าจึงน่าเป็นห่วง ปีนี้เชื่อการส่งออกข้าวไทยจะทำได้ถึง 9 ล้านตัน ส่วนปีหน้ามีโอกาสที่ไทยจะส่งออกได้ลดลง
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวเสริมว่า ล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรก 0.50% ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายตอนนี้อยู่ 4.75-5.00% จากเดิม 5.25-5.50% ซึ่งเห็นว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ควรพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้เงินบาทแข็งค่าเกินไป ซึ่งจะเอื้อให้ผู้ประกอบการ ภาคการส่งออก และภาคท่องเที่ยวและบริการ สามารถที่แข่งขันได้ดียิ่งขึ้น
อย่างไรก็ดี หอการค้าไทยและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 2567 กรณีนับรวมโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่จะมีส่วนช่วยกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ เติบโตราว 3.8-4.3% โดยทั้งปีจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เพิ่มขึ้นอีก 0.2-0.3% และทำให้ภาพรวม GDP เติบโตจากเดิมที่คาดไว้ 2.5% เป็น 2.6-2.8%