
“พีระพันธุ์” เดินหน้าแผน “รื้อ ลด ปลด สร้าง” ขับเคลื่อนไทยสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ชี้ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นลำดับที่ 20 ของโลก ส่วนใหญ่มาจากภาคพลังงาน-อุตสาหกรรม เผยแผน PDP ใหม่ เน้นการปรับตัวรับเทรนด์โลก เพิ่มสัดส่วนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน พร้อมหนุนอุตสาหกรรมติดตั้งระบบไฟฟ้าโซลาร์ใช้เอง ไม่งั้นสินค้ามีหวังถูกกีดกันนำเข้า ไม่ห่วงสถานการณ์สงคราม มั่นใจกระทบระยะสั้น พร้อมตรึงค่าพลังงาน ไฟฟ้าถึงปีใหม่
เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2567 สถาบันพลังงานเพื่ออุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดงานสัมมนาวิชาการประจำปี Energy Symposium 2024 ภายใต้หัวข้อ “การปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมให้สอดคล้องกับแผนพลังงานใหม่เพื่อมุ่งสู่ Carbon Neutrality”
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นลำดับที่ 20 ของโลก จากทั้งหมด 198 ประเทศ (Climate Watch Data, 2020) ซึ่งส่วนใหญ่มาจากภาคพลังงานถึง 70% จากการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรมและภาคขนส่ง แม้ภาคพลังงานจะมีวัตถุประสงค์หลักในการขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศและเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนด้วย จึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเลิกใช้พลังงาน แต่เราต้องใช้อย่างคุ้มค่าและก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนอย่างยั่งยืน
ภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกจึงต้องปรับตัวสู่การผลิตที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ ไม่ใช่แค่เพื่อความอยู่รอดในเชิงธุรกิจที่พิจารณาเฉพาะผลตอบแทนในรูปของตัวเงินเท่านั้น แต่เป็นการปรับการดำเนินธุรกิจเพื่อความอยู่รอดอย่างยั่งยืนของโลก ขณะเดียวกันภาครัฐจำเป็นต้องปรับตัวไปสู่การดำเนินธุรกิจที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ทั้งการปรับตัวให้สอดคล้องกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan : PDP) แต่ต้องปรับให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลก เห็นได้จากอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ รวมถึงพายุเฮอริเคนที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างมหาศาล
การปรับตัวดังกล่าวทำให้ภาคอุตสาหกรรมมีต้นทุนที่ต้องจ่าย จึงเป็นความท้าทายสำหรับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งในความเป็นจริงต้นทุนการผลิตเชื้อเพลิงนั้นถูก แต่ระบบการผลิตแพง และมีกฎระเบียบเกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดความยุ่งยากและเป็นอุปสรรค
ทั้งนี้ ในส่วนของกระทรวงพลังงานได้เดินหน้าขับเคลื่อนและผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถปรับตัวสู่การผลิตการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดต้นทุนด้านพลังงาน ด้านการจัดการทรัพยากรวัตถุดิบและการจัดการของเสียเพื่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศรวมถึงการเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนตามเป้าหมาย
“ภารกิจของกระทรวงพลังงานตามแผนพลังงานฉบับใหม่ เป็นภารกิจที่ทำให้ประเทศเดินหน้าไปพร้อมกับสังคมโลก และต้องมาช่วยกันคิดว่าอะไรที่จะสามารถทำให้เดินหน้าไปได้ ไม่เป็นภาระประเทศและประชาชน” นายพีระพันธุ์กล่าว
PDP ใหม่เพิ่มสัดส่วนโซลาร์
นายพีระพันธุ์กล่าวว่า สิ่งที่ทำให้เราต้องปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลก คือ การลดคาร์บอนที่เกิดจากภาคพลังงาน เพื่อนำไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ปี 2065 (Net Zero) ซึ่งภาคอุตสาหกรรมยังต้องใช้พลังงานฟอสซิล เพราะฉะนั้น ในแผน PDP ใหม่จึงวางกรอบให้การผลิตไฟฟ้ามาจากเชื้อเพลิงพลังงานทดแทน ซึ่งไทยเน้นพลังงานจากแสงอาทิตย์ ดังนั้น แผน PDP ใหม่จึงต้องเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนมากขึ้น โดยจะต้องไม่เป็นภาระของประชาชน แต่จะต้องทำให้ประเทศเดินหน้าไปพร้อมกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก
ความคืบหน้าแผนดังกล่าวขณะนี้อยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็น โดยมีหลากหลายข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะทั้งในระบบเว็บไซต์และการส่งหนังสือถึงหน่วยงานต่าง ๆ กว่า 60 หน่วยงาน คาดว่าปี 2567 จะนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และส่งให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ก่อนเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป ส่วนความคืบหน้าแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) อยู่ระหว่างดำเนินการ
นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาและร่างกฎหมายให้เอกชนหรือภาคอุตสาหกรรมสามารถติดตั้งระบบไฟฟ้าได้เอง และสามารถผลิตในประเทศทำให้ต้นทุนต่ำ เพื่อลดต้นทุนให้กับทั้งภาคครัวเรือน ภาคอุตสาหกรรมด้วย
“ภาคอุตสาหกรรมอาจจะค่อนข้างเหนื่อย ถ้าสินค้าไม่ได้ผลิตจากพลังงานสะอาดก็จะถูกข้อกีดกันจากประเทศผู้นำเข้า อาจไม่รับซื้อ ดังนั้น ภาคอุตสาหกรรมไม่ใช่แค่ต้องปรับตัวให้เข้ากับแผนพลังงานใหม่ แต่ต้องปรับตัวเข้ากับโลกด้วย” นายพีระพันธุ์กล่าว
ลุย “รื้อ ลด ปลด สร้าง”
นายพีระพันธุ์กล่าวว่า กระทรวงพลังงานให้ความสำคัญและดำเนินการตามแนวทาง “รื้อ ลด ปลด สร้าง” โดย “รื้อ” ระบบการผลิตการใช้พลังงานเก่าที่ล่าสมัยไร้ประสิทธิภาพออกไป ซึ่งจะเป็นการ “ลด” การใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วน “ปลด” เป็นการปลดพันธนาการจากการพึ่งพาพลังงานจากภายนอกด้วยการผลิตพลังงานสะอาดใช้เอง ทำให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถกำหนดและควบคุมต้นทุนด้านพลังงานได้ด้วยตัวเองโดยเฉพาะต้นทุนด้านไฟฟ้าที่การผลิตไฟฟ้าของส่วนกลางต้องนำเข้าเชื้อเพลิง LNG จากต่างประเทศ ทำให้มีต้นทุนสูงและมีราคาผันผวนตามราคาตลาดโลก ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตรวมถึงกระทบต่อความอยู่รอดของภาคอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานอยู่ในระหว่างดำเนินการปรับปรุงกฎระเบียบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เพื่อปลดล็อกกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น ลดขั้นตอนให้ผู้ประกอบการ และช่วยอำนวยความสะดวกให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถปรับตัวสู่การเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าสะอาดใช้เองได้
นอกจากนี้ ภาคอุตสาหกรรมยังสามารถ “สร้าง” มูลค่าเพิ่มให้กับของเสีย น้ำเสียจากกระบวนการผลิตของตนเองต่อยอดสู่การผลิตเป็นพลังงานทดแทนสำหรับนำกลับมาใช้เองผ่านการสร้างระบบบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของตนเองด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การปรับปรุงระบบขนส่งเป็นรถไฟฟ้าเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันและลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย
“ก๊าซที่เราได้จากอ่าวไทยก็ไม่พอ ก็เลยต้องซื้อ LNG จากพม่า ซึ่งมีราคาที่ผันผวน ส่วนน้ำมันขึ้นกับราคาตลาดโลกทำให้เราไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้น ต้นทุนของเชื้อเพลิงจึงมีราคาสูง” นายพีระพันธุ์กล่าว
ตรึงค่าไฟ พลังงานถึงต้นปีหน้า
นายพีระพันธุ์กล่าวอีกว่า หลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติตรึงราคาดีเซลไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร ไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2567 นั้น ล่าสุดกระทรวงพลังงานเตรียมขยายมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร ต่อจนถึงต้นปี 2568 แต่ก็ต้องดูปัจจัยโดยเฉพาะปัญหาสงครามมาประกอบ เนื่องจากเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ระดับราคาน้ำมันตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้น โดยสั่งการให้กระทรวงพลังงานติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
พบว่าขณะนี้สถานการณ์ความรุนแรงยังอยู่ในวงแคบและคาดการณ์ว่าจะไม่ส่งผลกระทบกับประเทศไทยมากนัก ซึ่งขณะนี้ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงยังมีเพียงพอต่อความต้องการใช้ตามที่กฎหมายกำหนดให้สำรองน้ำมัน 26 วัน แต่ในทางปฏิบัติสำรองได้ถึง 70 วัน
“นโยบายของกระทรวงพลังงานที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ คือ การลดราคาพลังงาน ทั้งการตรึงค่าไฟฟ้า ตรึงราคาน้ำมัน, LNG โดยเฉพาะดีเซลจะพยายามตรึงราคาให้ถึงต้นปีใหม่” นายพีระพันธุ์กล่าว