เปิดแผนรับมือฝุ่น PM 2.5 ลงลึกถึง อปท.คุมไฟเผาป่า

ไฟป่า

เร่งรับมือฝุ่นมลพิษ PM 2.5 “กรมควบคุมมลพิษ” จัดทำมาตรการรับมือไฟป่า หมอกควันและฝุ่นละออง ครอบคลุม 3 ระดับ ฝุ่นควันข้ามแดน ไฟป่าข้ามเขต และฝุ่นในเมือง พร้อมตั้งเป้าหมายลดค่าเฉลี่ยฝุ่น PM 2.5 ลงให้ได้ร้อยละ 5-15 คุมเข้มไฟป่า 14 เขต มหาดไทยสั่ง อปท.ทั่วประเทศจัดทำแผนป้องกันแก้ปัญหาฝุ่น

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ฤดูฝุ่น PM 2.5 ส่งผลให้หน่วยงานของภาครัฐและภาคเอกชนเริ่มเตรียมความพร้อมที่จะรับมือ โดยกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ได้จัดทำมาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควันและฝุ่นละอองปี 2568 เสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปเมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ด้วยการจัดตั้งกลไกบริหารจัดการฝุ่นเป็น 3 ระดับ ขณะที่ภาคเอกชนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จังหวัดทางภาคเหนือที่ต้องเผชิญปัญหาฝุ่น PM 2.5 โดยตรงก็ได้จัดทำแผนแก้ปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 เช่นกัน

มาตรการรับมือฝุ่น PM 2.5

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานมาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควันและฝุ่นละออง ประจำปี 2568 ว่า จะยกระดับการดำเนินการเพื่อป้องกันและแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ผ่านการบริหารจัดการใน 3 ระดับ ทั้งระดับประเทศ (ฝุ่นควันข้ามแดน) ระดับกลุ่มพื้นที่ (Cluster) และระดับจังหวัด โดยจะกำหนดการรับมือฝุ่นล่วงหน้าให้เร็วขึ้น ด้วยการวิเคราะห์จัดทำพื้นที่เสี่ยงการเผาและเสี่ยงฝุ่น (Risk Map) ควบคุมพื้นที่แบบมุ่งเป้าพื้นที่ป่าแปลงใหญ่ในกลุ่มป่ารอยต่อไฟ ด้วยการจัดทำแผนปฏิบัติการจัดการไฟป่าตามห้วงเวลา กับแผนบริหารจัดการเชื้อเพลิง และการบริหารไฟในพื้นที่ทางการเกษตรช่วงฤดูการเก็บเกี่ยว

“การปฏิบัติการจะกำหนดการดำเนินการบริหารจัดการฝุ่น PM 2.5 ให้สอดคล้องกับแหล่งกำเนิด แบ่งเป็นการจัดการไฟป่า การจัดการไฟป่าในพื้นที่การเกษตร และการควบคุมฝุ่นละอองในเขตเมือง ซึ่งรวมไปถึงฝุ่นควันจากยานพาหนะ โรงงานอุตสาหกรรม ชุมชนริมทาง และการจัดการหมอกควันข้ามแดนที่จะต้องมีการหารือกับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นต้นตอของการเผา ทั้งทางด้านตะวันตกและตะวันออกของประเทศ”

โดยการจัดการจะแบ่งเป็น 1) การจัดการไฟในพื้นที่ป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติ จะมีการตั้งจุดตรวจ จุดสกัด จุดเฝ้าระวังในพื้นที่เสี่ยง ชุดดับไฟป่า การบริหารจัดการเชื้อเพลิง ประกาศจำกัดการเข้าพื้นที่ป่า การใช้ประโยชน์จากป่าชุมชน โดยไม่เผาพื้นที่เกษตรกรรมในที่ดินของรัฐ 2) การจัดการไฟในพื้นที่เกษตร ด้วยการขึ้นทะเบียนเกษตรกรที่ “จำเป็น” จะต้องใช้ไฟและบริหารจัดการไฟในพื้นที่เกษตรเท่าที่จำเป็นและมีการควบคุม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การควบคุมการเผาอ้อยไฟไหม้ที่จะส่งเข้าโรงงานน้ำตาล ซึ่งเป็นต้นเหตุของฝุ่นควันในพื้นที่การเกษตร

3) การควบคุมฝุ่นละอองในเขตเมือง ด้วยการออกประกาศห้ามรถบรรทุกขนาดใหญ่เข้าในเขตเมืองในช่วงวิกฤตฝุ่น PM 2.5 การขนส่งโดยใช้บริการรถสาธารณะด้วยข้อเสนอที่จะปรับลดค่าโดยสารลง การเร่งปรับเปลี่ยนรถ ขสมก.ให้เป็นรถไฟฟ้าทั้งหมด การตรวจจับรถควันดำ-รถบรรทุก การเข้มงวดเรื่องฝุ่นละอองในพื้นที่ก่อสร้างและโรงงานอุตสาหกรรม ที่ปล่อยฝุ่นควันเกินไปกว่ามาตรฐาน ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด รวมไปถึงการเผาในพื้นที่สาธารณะและชุมชนริมทางด้วย

ADVERTISMENT

4) การจัดการปัญหาหมอกควันข้ามแดน จะบริหารจัดการด้วยการหารือในระดับรัฐมนตรีก่อนที่จะเริ่มฤดูกาลเผาพืชไร่ และจะมีการตั้ง ศูนย์บัญชาการเฝ้าระวัง ควบคุมและดับไฟในประเทศเพื่อนบ้านด้วย 5) การบริหารจัดการในภาพรวม จะขอการสนับสนุนด้วย “งบฯกลาง” จากรัฐบาล และให้สิทธิประโยชน์กับภาคเอกชน จะมีการประกาศพื้นที่ควบคุมเหตุรำคาญ รวมไปถึงหากมีสถานการณ์ฝุ่นควันรุนแรงขึ้นก็อาจจะประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ PM 2.5 รวมไปถึงการจูงใจให้มีการนำนโยบาย Work from Home ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนด้วย

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้มีดัชนีชี้วัดเป้าหมายในการทำงานป้องกันและลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในปีนี้จะมีการกำหนดเป้าหมายลดพื้นที่เผาไหม้ในพื้นที่ป่าร้อยละ 25 ในการบริหารจัดการพื้นที่ป่าแปลงใหญ่รอยต่อไฟ 14 กลุ่ม (Cluster) การลดการเผาไหม้ในพื้นที่เกษตรและพืชเป้าหมายร้อยละ 10-30 การควบคุมฝุ่นที่เกิดจากยานพาหนะและโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่เมืองให้เป็นไปตามกฎหมายร้อยละ 100 รวมไปถึงการตั้งหมายการลดค่าเฉลี่ยฝุ่น PM 2.5 ลงร้อยละ 5-15 และควบคุมค่าเฉลี่ยฝุ่น PM 2.5 ใน 24 ชั่วโมงสูงสุดไม่ให้เกินค่าที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ และลดจำนวนวันที่มีฝุ่นละอองเกินกว่าค่ามาตรฐานลงร้อยละ 5-10

ADVERTISMENT

ลงลึกทำแผนฝุ่นระดับ อปท.ทั่ว ปท.

นอกจากการจัดทำมาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควันและฝุ่นละอองประจำปี 2568 แล้ว มีรายงานข่าวจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ได้สั่งการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ จัดทำแผนการดำเนินงานการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 โดยแผนดังกล่าวจะประกอบไปด้วยสภาพพื้นที่ตั้งของ อปท. จำนวนประชากร อาชีพ เส้นทางคมนาคม แหล่งน้ำสำคัญ และสถานการณ์ฝุ่นในพื้นที่ ด้วยการกำหนดอำนาจหน้าที่ให้นายกเทศมนตรี นายกองค์การบริหารส่วนตำบล นายกเมืองพัทยา ในฐานะผู้อำนวยการท้องถิ่น มีอำนาจตามมาตรา 20 พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 โดยจะแบ่งการปฏิบัติการออกเป็น 2 ระยะคือ

ระยะเตรียมการ เริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 ถึงกันยายน 2568 เริ่มตั้งแต่การประชาสัมพันธ์สถานการณ์ฝุ่นละอองในพื้นที่ การตรวจสอบค่าฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่ การตรวจสอบโครงการก่อสร้างต่าง ๆ และกำหนดให้ผู้รับเหมามีมาตรการในการป้องกันไม่ให้เกิดฝุ่นละออง การจัดอาสาสมัครป้องกันไฟป่าและลาดตระเวนในพื้นที่ป่าสงวนฯ การเตรียมความพร้อมอุปกรณ์ป้องกันและควบคุมไฟป่า การขอความร่วมมือเกษตรกรงดการเผาในพื้นที่ การรับซื้อตอซังข้าวและฟางข้าว สำรวจพื้นที่เผาซ้ำซ้อนและไม่ให้เผา รวมไปถึงการประกาศพื้นที่ควบคุมเหตุรำคาญ ส่วนการควบคุมฝุ่นละอองในเขตเมือง ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์-กรกฎาคม 2568 จัดให้มีการตรวจสอบรถยนต์ในพื้นที่ไม่ให้ปล่อยควันดำเกินค่ามาตรฐาน

ระยะเผชิญเหตุระหว่างเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2568 หากเกิดไฟป่าให้เข้าระงับเหตุดับไฟในพื้นที่ทันที โดยบูรณาการการดับไฟและควบคุมไฟป่ากับเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รวมไปถึงการเข้าระงับเหตุการเผาและการลุกลามของไฟในพื้นที่เกษตรกรรมด้วย ส่วนระยะเผชิญเหตุในเขตเมือง ให้ประชาสัมพันธ์สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ให้ประชาชนในพื้นที่ทราบ จัดหาหน้ากากอนามัย ระงับการก่อสร้างในพื้นที่ในช่วงวิกฤตฝุ่น PM 2.5 และมีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินท้องถิ่น

เชียงใหม่รุกแผน 5 ปีแก้ฝุ่นควัน

ด้านนายทศพล เผื่อนอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ได้ทำแผนยุทธศาสตร์ระยะ 5 ปี เพื่อแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยเฉพาะในปี 2568 ในแผนจะกำหนดเป้าหมาย ทิศทาง งบประมาณ และรายละเอียดของแผนงานโครงการต่าง ๆ พร้อมทั้งจะนำนวัตกรรม งานวิจัย วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเสริมการปฏิบัติงานมากขึ้น เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น และไม่เน้นแค่ช่วงการดับไฟอย่างเดียว แต่จะให้ความสำคัญกับทุกมิติ

โดยแผนจะแบ่งเป็น 6 มิติได้แก่ ป่าสงวนฯ, ป่าอนุรักษ์, การเกษตร, ชุมชนเมือง, ระบบขนส่งมวลชน, การบริหารและการมีส่วนร่วม และลดผลกระทบด้านสุขภาพ โดยในเป้าหมายระยะ 5 ปี (2568-2572) ตั้งเป้าหมายลดพื้นที่เผาไหม้ หรือ Burn Scar ในจังหวัดเชียงใหม่ลง 20% จุดเผาไหม้ 20% ผู้ป่วย COPD หรือพื้นที่ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคมลดลง 10% และจำนวนวันที่มีค่า PM 2.5 ลง 20% จากปีก่อน

ขณะที่นายชัชวาลย์ ทองดีเลิศ ประธานสภาลมหายใจเชียงใหม่ กล่าวว่า สภาลมหายใจเชียงใหม่อยู่ระหว่างการเตรียมแผนแก้ปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 ปี 2568 ของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการสรุปบทเรียนจากปีที่ผ่านมา (2567) ประเด็นหลักก็คือ การมีส่วนร่วมของชุมชนและท้องถิ่นที่ต้องทำเป็น “แผนระดับลึก” โดยใช้ตัวกระบวนการทางสังคมเข้ามาควบคุมการเผามากขึ้น เนื่องจากปีที่ผ่านมาพบว่า คำสั่งของจังหวัดยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างครอบคลุม และการมีส่วนร่วมอยู่แค่ระดับกำนันผู้ใหญ่บ้านเท่านั้น ยังเข้าไม่ถึงระดับประชาชน-ชุมชนอย่างแท้จริง

ดังนั้นการแก้ปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 ในปี 2568 จึงต้องการยกระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชนให้มีความลึกมากขึ้น ให้ไปสู่จุดการทำประชาคมหมู่บ้านและให้มีแผนในระดับชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างกติกาชุมชนในการควบคุมการเผา ควบคู่กับคำสั่งจังหวัดในเรื่องต่าง ๆ อาทิ การห้ามเผาที่ใช้มาตรการทางกฎหมาย เป็นต้น

รวมถึงการให้ชาวบ้านดูแลกันเองมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการเพิ่มน้ำหนัก และเพิ่มกระบวนการมีส่วนร่วมของแผนการแก้ปัญหาและรับมือฝุ่นควัน PM 2.5 ในปี 2568 ให้มีความละเอียดและเชิงลึกมากขึ้นกว่าทุกปี โดยแผนทั้งหมดจะดำเนินการเสร็จเรียบร้อยภายในเดือนธันวาคม และจะนำเสนอแผนเบื้องต้นให้ ครม.สัญจรพิจารณาระบบสนับสนุน โดยเฉพาะงบประมาณที่ต้องใช้งบฯกลางในการขับเคลื่อนให้ทันเวลาและเป็นรูปธรรม

ขณะที่ข้อเสนอของมูลนิธิสภาลมหายใจภาคเหนือ มาตรการแก้วิกฤตฝุ่นควันปี 2568 ต่อคณะทำงานของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โดยให้ยกระดับนโยบายไฟแปลงใหญ่ สู่กลุ่มพื้นที่บูรณาการ พุ่งเป้ากลุ่มป่ารอยต่อไฟผลกระทบสูง 7 กลุ่ม (19 ผืนป่า) พื้นที่บูรณาการ 7 กลุ่มไฟแปลงใหญ่ (19 ผืนป่า) ได้แก่ 1) กลุ่มป่ารอบเขื่อนศรีนครินทร์ (อช.ศรีนครินทร์, ขสป.สลักพระ, ป่าสงวนฯเขาพระฤๅษีและป่าเขาบ่อแร่, ป่าสงวนฯ ป่าเขาช้างเผือก) 2) กลุ่มป่าเหนือเขื่อนภูมิพล (อช.แม่ปิง/ขสป.แม่ตื่น/ขสป.อมก๋อย/ป่าสงวนแห่งชาติแม่พริก)

3) กลุ่มป่าสาละวิน (อช.สาละวิน/ขสป.สาละวิน) 4) กลุ่มป่ารอยต่อเหนือเขื่อนสิริกิติ์ (อช.ศรีน่าน อช.ลำน้ำน่าน อช.ขุนสถาน) 5) กลุ่มป่าโซนกลาง (ป่าสงวนฯแม่งาว/อช.แม่ยม) 6) กลุ่มป่ารอยต่อสามอำเภอเชียงใหม่ใต้ (อช.ออบหลวง/อช.แม่โถ อำเภอฮอด แม่แจ่ม จอมทอง) และ 7) กลุ่มป่าลุ่มน้ำปาย (ขสป.ลุ่มน้ำปาย/ป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ปายฝั่งซ้าย)