อมตะ ยู เปิดทาง ‘อีสท์ วอเตอร์’ ครั้งแรกศึกษาแนวทางบริหารจัดการน้ำใน EEC จาก 17 บ่อแหล่งน้ำขุดของอมตะ ผ่าน 565 ท่อส่ง ซัพพอร์ตการเติบโตของเมือง สนามบิน อุตสาหกรรม ที่ต้องการน้ำมากกว่า 5 ล้านลูกบาศก์เมตรในอีก 3 ปีข้างหน้า
นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ ยู จำกัด หรือ อมตะ ยู กล่าวว่า อมตะ ยู เป็นบริษัทของกลุ่มอมตะ ซึ่งดำเนินธุรกิจจัดหาและให้บริการสาธารณูปโภคและพลังงานที่มั่นคง ยั่งยืน ครบวงจร และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมของกลุ่มอมตะทั้งในและต่างประเทศ อมตะ ยู มุ่งมั่นให้บริการสาธารณูปโภคและพลังงานที่มีคุณภาพสูงและนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนการเติบโตของลูกค้าและส่งเสริมความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม โดยดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและการบริหารจัดการที่มีธรรมาภิบาล
ล่าสุดได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับทาง บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรืออีสท์ วอเตอร์ เพื่อศึกษาและพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการน้ำในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จากแหล่งน้ำของอมตะที่ขุดและเก็บกักน้ำไว้ 17 บ่อ ซึ่งปัจจุบันอมตะมีน้ำดิบสะสมสูงถึง 30 ล้านลูกบาศก์เมตร สำรองได้ 2 ปี หากฝนไม่ตก
การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรน้ำดิบเพื่อรองรับความต้องการน้ำในระยะยาวของภาคอุตสาหกรรมภายใต้ขอบเขตความร่วมมือในบันทึกข้อตกลงระยะเวลา 12 เดือน โดยจะร่วมกันศึกษาศักยภาพของแหล่งน้ำดิบของอมตะ ยู และการเชื่อมโยงโครงข่ายท่อน้ำของอีสท์ วอเตอร์ เพื่อสร้างระบบส่งน้ำที่มีเสถียรภาพ เพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้น้ำในนิคมอุตสาหกรรมอมตะ รองรับการลงทุนที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
“เรามีความเชื่อมั่นว่าความร่วมมือนี้จะช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพในด้านการบริหารจัดการน้ำดิบในช่วงวิกฤตน้ำแล้ง รวมถึงในสถานการณ์ปกติ ภายในนิคมเองมีแหล่งน้ำดิบเหลือใช้ในพื้นที่ของนิคมอมตะซิตี้ ชลบุรี และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในนิคมอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้ผ่านโครงข่ายท่อของอีสท์ วอเตอร์ เพื่อสนับสนุนการผลิตในโรงงานตลอดทั้งปี และในช่วงการเติบโตของพื้นที่ EEC จะมีการจัดส่งน้ำดิบเพิ่มเติมในปริมาณที่กำหนด ซึ่งจะช่วยลดภาระของภาครัฐในการส่งน้ำจากในพื้นที่อุตสาหกรรมภาคตะวันออก”
ดร.เพ็ชร ชินบุตร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรืออีสท์ วอเตอร์ กล่าวว่า การร่วมศึกษาแนวทางการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ EEC เน้นการศึกษาศักยภาพแหล่งน้ำดิบ โดยนำน้ำดิบดังกล่าวมาบริหารจัดการส่งโดยโครงข่ายท่อของ อีสท์ วอเตอร์ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 565 ท่อ เพื่อเสริมความมั่นคงเสถียรภาพด้านแหล่งน้ำและสร้างความเชื่อมั่นตลอดจนตอบสนองความต้องการของผู้ใช้น้ำระยะยาวในพื้นที่ภาคตะวันออก ให้เป็นเขตอุตสาหกรรมหลักของประเทศ
ซึ่งอีสท์ วอเตอร์ พร้อมดำเนินงานร่วมกับทุกภาคส่วนในทั่วประเทศ โดยให้ความสำคัญแก่ผู้ใช้น้ำและการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ EEC เป็นหลัก โดยพัฒนาท่อส่งน้ำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ปัจจุบันบริษัทมีโครงการท่อส่งน้ำดิบมาบตาพุด-สัตหีบ โครงการท่อส่งน้ำดิบ หนองปลาไหล-หนองค้อ-แหลมฉบัง เพื่อที่จะตอบสนองการรับส่งน้ำในเขตนิคมอุตสาหกรรม และโครงการก่อสร้างระบบท่อส่งสายคลองหลวง-ชลบุรี เพื่อที่จะสามารถรับส่งน้ำในพื้นที่จังหวัดชลบุรี
และเพื่อให้โครงข่ายท่อส่งน้ำ (Water Grid) ของอีสท์ วอเตอร์ มีความสมบูรณ์มั่นคง และแข็งแกร่งในภาคตะวันออก รองรับความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้น สร้างการเติบโต และเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการน้ำให้แก่พื้นที่ภาคตะวันออกอย่างยั่งยืน จึงเกิดความร่วมมือของทั้งสองบริษัท โดยมีวัตถุประสงค์ในการเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการน้ำครบวงจรให้เต็มประสิทธิภาพในพื้นที่ EEC ตอบสนองนโยบายของภาครัฐ และแก้ไขปัญหาภัยแล้งได้อย่างยั่งยืน
ความร่วมมือในครั้งนี้ยังรวมถึงการศึกษาแผนบริหารจัดการน้ำแบบครบวงจร ทั้งน้ำดิบ น้ำอุตสาหกรรม น้ำเสีย และการนำน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำในพื้นที่ รวมถึงการพัฒนารูปแบบธุรกิจและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพของแหล่งกักเก็บน้ำและโครงข่ายท่อน้ำ
“เราเคยมีกำลังส่งน้ำได้สูงสุด 300 ลูกบาศก์เมตร เมื่อ 6 ปีก่อนที่เกิดภัยแล้งมาก ๆ ตอนนี้กำลังการผลิตเราเฉลี่ยอยู่ที่ 270 ลูกบาศก์เมตร ที่ป้อนให้ EEC ซึ่งตอนนี้มันยังเพียงพอในช่วง 3 ปี แต่คาดการณ์ว่าเมื่อ EEC มีการลงทุนเพิ่มมากขึ้น มีสนามบิน มีเมืองใหม่ ความต้องการน้ำต้องมากขึ้นแน่นอน อย่างน้อยเราต้องมี 5 ล้านลูกบาศก์เมตรไว้รอแน่นอน ทำให้แหล่งน้ำที่มีอยู่ตอนนี้ที่เราประมูลได้มันอาจไม่พอ
จึงจำเป็นต้องศึกษาจากแหล่งน้ำของอมตะ แล้วจะดูว่าจะซื้อขายกันอย่างไร อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเรามีแหล่งน้ำและดีมานที่ปลายทางคือใคร เราจะมีน้ำเพิ่มขนาดไหน ที่ตะเอาไว้ใช้ให้ให้ผู้บริโภค ภาคเกษตร และภาคอุตสาหกรรม โดยไม่ต้องมานั่งกังวลว่าปีนี้ปีหน้าน้ำจะพอหรือไม่”