
ม.หอการค้าไทย เผย “ทรัมป์” ชนะเลือกตั้ง เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 คาดสงครามทางการค้าระหว่าง จีน-สหรัฐ รุนแรงขึ้น กระทบเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว แนะรัฐบาล เร่งปรับตัวออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงการลงทุน
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ว่า เมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง และเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ มองว่าจะเกิดสงครามทางการค้าระหว่าง จีน-สหรัฐ รุนแรงขึ้น หาก “ทรัมป์” ครองคะแนนเสียง ในรัฐสภาจะทำให้นโยบายการบริหารนั้น ง่าย เร็วและแรงขึ้น อาจจะออกนโยบายเศรษฐกิจแบบกะทันหัน เพื่อดูแลเศรษฐกิจสหรัฐ
นอกจากนี้ ทรัมป์ จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน 60% และเพิ่มภาษีนำเข้าจากประเทศต่าง ๆ 10% จะมีผลทำให้จีนส่งออกไปสหรัฐน้อยลง อีกทั้งทรัมป์ยังจะใช้นโยบายในการลดต้นทุนการผลิตภายในประเทศ จากเดิม 25% เป็น 15-20% เพื่อลดต้นทุน ซึ่งในระยะสั้นจะมีผลต่อภาพเศรษฐกิจในสหรัฐโตขึ้น ส่วนนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม จะให้ความสำคัญเบาบางลง ขณะที่สงครามตะวันออกกลางยังคงมีอยู่และต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ ในส่วนของจีนไม่ว่าใครจะขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ จีนได้มีการปรับตัว เพราะมั่นใจว่าจะมีการกีดกันทางการค้า โดยจีนจะให้ความสำคัญและสานสัมพันธ์กับแอฟริกา ยุโรป เอเชียมากขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อการขยายการลงทุนเข้ามาในแถบนี้ รวมถึงไทย
ทางด้านประเทศไทยมองว่าจะต้องปรับตัว ไม่ว่าใครเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ กระทบการส่งออกไทยไปในตลาดจีนและสหรัฐ รวมถึงประเทศอื่นด้วย นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จีนจะส่งสินค้าเข้าไทยเพิ่มขึ้น รวมไปถึงการย้ายฐานการผลิต ไทยจำเป็นจะต้องมีนโยบายชัดเจน ในเรื่องของแผนการลงทุนการสร้างสัมพันธ์อันดีและตลาดที่จะรองรับ
นอกจากนี้ มองว่าเศรษฐกิจในปี 2568 ไทยจะขยายตัว 3% ส่วนในปี 2567 เติบโต 2.6-2.8% และเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากติดตามสถานการณ์การเลือกตั้งของสหรัฐแล้ว รัฐบาลต้องเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี ให้มีแรงส่งต่อเนื่อง ด้วยการมาตรการลดหย่อนภาษีจากการใช้จ่ายเพื่อท่องเที่ยว Easy e-Receipt แม้จะทำให้รัฐบาลรายได้จากภาษีหายไป 1 หมื่นล้านบาท แต่ทำให้เงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจ 5-6 หมื่นล้านบาท และหากออกมาตรการคนละครึ่งเพิ่มอีก 50,000 ล้านบาท จะมีเม็ดเงินใหม่เข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจกว่าแสนล้านบาทช่วงปลายปีด้วย