ดับฝันขายใบอ้อยลดฝุ่นตันละ 51 บาท สหพันธ์ชาวไร่ไม่เชื่อทุกคนจะทำได้จริง

อ้อย

สหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทยออกแถลงการณ์ถึงกระทรวงอุตสาหกรรม ข้องใจมาตรการใหม่ ขายใบอ้อย ยอดอ้อยสด ลดฝุ่น PM 2.5 ที่เตรียมเข้า ครม. ขอเงินช่วยเหลือ เน้นย้ำ ทุกคน ทุกไร่ ทุกแปลง ใช่ว่าจะทำได้ ขาดคนรับซื้อ เครื่องจักรเก็บม้วนใบก็ไม่มี โรงงานส่วนใหญ่ก็ไม่อยากได้ใบอ้อยเป็นเชื้อเพลิง

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานการเคลื่อนไหวของชาวไร่อ้อย หลังจากที่คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) กำหนดนโยบายการช่วยเหลือชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 ฤดูการผลิตปี 2567/68-2569/70 ในวันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา ด้วยการกำหนด 2 มาตรการสำคัญ ซึ่งเชื่อกันว่าจะลดฝุ่น PM 2.5 ที่เกิดจากการเผาไร่อ้อยลงได้

โดยมาตรการทั้ง 2 มาตรการ แบ่งเป็นมาตรการสร้างแรงจูงใจแก่ชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสด 100% โดยชาวไร่อ้อยจะได้รับ “เงินเพิ่ม” ตันละ 69 บาท กับมาตรการเพิ่มรายได้จากใบอ้อยและยอดอ้อย ตัดส่งเข้าโรงงาน ซึ่งจัดเป็นมาตรการใหม่ที่จะใช้ในฤดูกาลที่จะถึง โดยจะเพิ่มราคารับซื้อ “ใบอ้อยและยอดอ้อย” อีกตันละ 300 บาท จากราคาปัจจุบันที่รับซื้ออยู่ตันละ 900 บาท ซึ่งจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มให้กับชาวไร่ที่ตัดใบอ้อยสดและยอดอ้อยได้อีก 51 บาท/ตัน รวม 2 มาตรการชาวไร่อ้อยจะได้รับเงินเพิ่ม 120 บาท/ตัน

ปรากฏว่าหลังการแถลงข่าวของกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมที่จะนำเสนอมาตรการช่วยเหลือชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสดเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.ท่ามกลางการ “คัดค้าน” จากชาวไร่อ้อยหลายกลุ่มที่อยากให้รัฐบาลจ่ายเงินช่วยเหลือการเก็บเกี่ยวอ้อยสดเพียงมาตรการเดียวในอัตราตันละ 200 บาทนั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ “การขายใบอ้อยสด ทำให้ราคาอ้อยเพิ่มขึ้นตันละ 51 บาท จริงหรือไม่ ?” โดยแถลงการณ์ฉบับนี้ได้ตั้งคำถาม 7 ข้อให้กับผู้กำหนดนโยบายดังกล่าว ดังต่อไปนี้

1) การขายใบอ้อยให้ได้ไร่ละ 100 บาท จะขึ้นอยู่กับความหนาของใบและระยะทางในการขนส่งใกล้ไกลไปยังโรงงานที่รัฐซื้อใบอ้อย ประกอบกับโรงงานน้ำตาลในประเทศเองก็ไม่ได้รับซื้อใบอ้อยทุกโรงงาน มีจำนวนโรงงานน้ำตาลที่รับซื้อน้อยมาก นั้นหมายถึง อ้อยทุกไร่ อ้อยทุกแปลง ไม่สามารถขายใบอ้อยได้ทั้งหมด ถึงขายได้ก็เป็นเพียงส่วนน้อย

2) แปลงอ้อยที่ต้องการขายใบ จะต้องขายเฉพาะแปลงอ้อยที่ต้องการื้อทิ้งเพื่อปลูกใหม่และแปลงจะต้องอยู่ไม่ห่างจากโรงงานที่จะรับซื้อใบอ้อย เนื่องจาก “ใบอ้อย” มีน้ำหนักเบาไม่คุ้มค่ารถบรรทุกที่จะวิ่งไปขายในระยะทางที่ไกล นอกจากนี้การขายใบอ้อยยังต้อง “รอคิว” พ่อค้าคนรับซื้อใบอ้อย ซึ่งจะต้องมาเก็บม้วนใบอ้อย

ADVERTISMENT

เนื่องจากเครื่องจักรและอุปกรณ์ในการม้วนเก็บใบอ้อยในประเทศมีจำนวนน้อย เมื่อฝนตกลงมาใบอ้อยที่จะเตรียมไว้ม้วนขายก็จะใช้ไม่ได้แล้ว ส่งผลให้ชาวไร่อ้อยส่วนใหญ่ “ไม่อยากเสียเวลารอ” เพราะจะต้องเตรียมแปลงไว้ปลูกอ้อยชุดใหม่ ดังนั้นคาดการณ์ว่า จะมีไร่อ้อยที่สามารถขายใบอ้อยได้ไม่ถึงร้อยละ 10-15 จากไร่อ้อยทั่วประเทศ

3) แปลงอ้อยใหม่ที่ตัดอ้อยแล้วต้องการเก็บรักษา “ตออ้อย” เกิดใหม่ก็จะไม่ขายใบอ้อยเพราะต้องการใบอ้อยคลุมดินรักษาความชื้นและย่อยสลายเป็นปุ๋ยธรรมชาติต่อไป ดีกว่าปล่อยให้วัชพืชขึ้นแล้วจะต้องฉีดพ่นยาฆ่าวัชพืช ซึ่งจะเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าการขายใบอ้อยได้แค่ตันละ 51 บาท

ADVERTISMENT

4) แปลงอ้อย 1 ไร่จะได้ใบอ้อยประมาณ 1.5-2 ตัน กรณีใบหนาจะได้ประมาณ 2 ตัน

5) ดังนั้น 1 ไร่อ้อยจะได้ใบอ้อยประมาณ 1.5 ตัน รัฐบาลจ่ายเงินช่วยเหลือ (เงินเพิ่ม) ตันละ 200 บาท รวมเป็นเงิน 300 บาท/ตัน ใบอ้อยพ่อค้าคนกลางรับซื้อจ่ายให้ชาวไร่อ้อยไร่ละ 100 บาท เท่ากับ 300+100 บาท ดังนั้น 1 ไร่อ้อย เฉลี่ยมีอ้อย 10 ตัน เท่ากับแปลงที่ขายใบอ้อยจะได้เงินเป็น “ค่าอ้อย” ตันละ 40 บาท

แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ชาวไร่อ้อยไม่สามารถขายใบอ้อยได้ทุกไร่ทุกแปลงทุกตันอ้อย เฉลี่ยแล้วเชื่อว่า ชาวไร่อ้อยจะขายใบอ้อยได้ไม่ถึงร้อยละ 10-15 ของปริมาณอ้อยทั้งหมด ดังนั้นอ้อยในประเทศไทยคาดการณ์ประมาณ 100 ล้านตัน มาตรการตัดใบอ้อยสดยอดอ้อยจึงช่วยราคาอ้อยได้เพียง 10-15% ต่อตันอ้อยเท่านั้น หรือถ้าคำนวณที่อ้อย 100 ล้านตัน จะช่วยชาวไร่อ้อยได้เพียงตันละ 4-6 บาท/ตันอ้อย

6) เกิดปัญหาพ่อค้ารับซื้อใบอ้อยมีจำนวนน้อยมาก เนื่งอจากขาดแคลนเครื่องมืออุปกรณ์ในการเก็บม้วนใบอ้อย เครื่องอัดใบอ้อย รถไถ รถบรรทุก จะต้องใช้เงินหลายล้านบาท ทำให้ขาดพ่อค้าที่จะออกมารับซื้อใบอ้อย ประกอบกับไร่อ้อยทุกแปลงใช่ว่า ทุกไร่จะขายใบอ้อยได้ทั้งหมดเพราะการขายใบจะต้องเป็นแปลงใหญ่ที่สามารถใช้รถตัดอ้อยขนาดใหญ่เข้าไปตัดอ้อยได้ ส่งผลให้ชาวไร่อ้อยรายเล็กและรายกลางไม่สามารถขายใบอ้อยตามมาตรการช่วยเหลือได้

และ 7) ใบอ้อยยอดอ้อยส่วนน้อยที่โรงงานรับซื้อไป จะต้องส่งเข้าเครื่องปั่นเครื่องตีให้ย่อยเล็กลง เกิดฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว ซึ่งจะขัดแย้งกับมาตรการที่ต้องการจะลดการเกิดฝุ่นละออง PM 2.5 ประกอบกับการใช้ใบอ้อยที่ปั่นตีให้เล็กลงเพื่อเป็นเชื้อเพลิงไม่สามารถใช้ใบอ้อยเพียงอ่ยางเดียวได้ แต่จะต้องนำไปผสมกับ “กากอ้อย” จึงจะใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ และนั้นคือสาเหตุสำคัญที่ว่า ทำไมโรงงานส่วนใหญ่จึงไม่รับซื้อใบอ้อยเป็นเชื้อเพลิง

อย่างไรก็ตามมีข้อน่าสังเกตว่า เงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยสดและขายใบอ้อยจำนวน 120 บาท/ตันนั้น เกิดขึ้นท่ามกลางความตกต่ำของราคาน้ำทรายในตลาดโลกจนคำนวณออกมาเป็น “ค่าอ้อยขั้นต้น” ได้เพียงตันละ 1,100 บาท ขณะที่ต้นทุนชาวไร่อ้อยอยู่ที่ตันละ 1,400 บาท จากปีการผลิตที่ผ่านมาที่ราคาอ้อยอยู่ในเกณฑ์ดีถึงตันละ 1,420 บาท

ดังนั้น แม้ว่าชาวไร่อ้อยจะได้รับเงินช่วยเหลือ ซึ่งเป็นเสมือนหนึ่งเงินเพิ่มค่าอ้อยจากมาตรการช่วยเหลือชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสดเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 รวมกันอีกตันละ 120 บาท ชาวไร่อ้อยก็จะได้รับเงินรวมกันเพียง 1,220 บาท ซึ่งต่ำกว่าต้นทุนการผลิตอยู่ดี