กนย. เห็นชอบขยายเวลาสินเชื่อ เพื่อรวบรวมยาง วงเงิน 10,000 ล้านบาท

ประชุม กนย.มีมติเห็นชอบขยายเวลาโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกร เพื่อรวบรวมยาง วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท พร้อมขยายระยะเวลาดำเนินงานโครงการพัฒนาศักยภาพฯ โครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนฯ ต่อ 2 ปี มอบหมาย กยท.เร่งเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ

นายสุขทัศน์ ต่างวิริยกุล รักษาการแทนผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยาง เป็นโครงการที่ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2557 ซึ่งผลการดำเนินงานในระยะที่ 3 (ฤดูกาลผลิตปี 2563-31 มี.ค. 2567) มีสถาบันเกษตรกรได้เบิกเงินกู้จริงจาก ธ.ก.ส.แล้ว 376 แห่ง รวมเป็นเงิน 17,415.022 ล้านบาท ปัจจุบันมีวงเงินคงเหลือให้สามารถยื่นขอกู้ได้อีก 8,789.964 ล้านบาท

ซึ่งการประชุม กนย.ในวันนี้ มีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาออกไปอีก 4 ปี (ตั้งแต่ 1 เม.ย. 2567-31 มี.ค. 2571) เป็นการสนับสนุนสินเชื่อให้กับสถาบันเกษตรกร ที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับยางพารา นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรับซื้อและจำหน่ายยางพารา ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อสร้างความเข้มแข็งและสร้างโอกาสพัฒนาสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางให้เกิดความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจด้านยางพารา ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวการณ์ราคายางตกต่ำหรือราคาที่สูงขึ้น ถือเป็นกลไกสำคัญหนึ่งที่จะช่วยเหลือสมาชิกเกษตรกรชาวสวนยางให้มีแหล่งขายยางพาราในระดับท้องถิ่น

ดังนั้น การดำเนินโครงการต่อเนื่องจะเป็นประโยชน์กับสถาบันเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการอย่างมาก

นอกจากนี้ ในที่ประชุม กนย.ยังมีมติเห็นชอบ ขยายระยะเวลาโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง โครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายางออกไป 2 ปี (ตั้งแต่ 31 ธ.ค. 2566-31 ธ.ค. 2568) พร้อมทั้งขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการสร้างมูลภัณฑ์ฯ เพื่อให้ กยท.สามารถระบายยางในสต๊อกให้แล้วเสร็จพร้อมกันภายในปี 2568

กรณีไม่ทันตามกำหนดเวลา ให้นำเสนอเพื่อผ่านความเห็นชอบใหม่อีกครั้ง ทั้งนี้ ที่ประชุม กนย.ได้มอบหมายให้ กยท.ดำเนินการจัดทำรายละเอียดทุกโครงการเพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว

ADVERTISMENT

“กยท.มั่นใจว่า การขับเคลื่อนโครงการทั้งหมดนี้ จะเป็นการช่วยเหลือสถาบันเกษตรกรฯ เพิ่มโอกาสและยกระดับศักยภาพ เสริมสภาพคล่อง สร้างความเข้มแข็งแก่สถาบันให้สามารถดำเนินธุรกิจยางพาราได้อย่างยั่งยืน นำไปสู่การพัฒนายางพาราทั้งระบบต่อไป”