
ปตท.เปิดกลยุทธ์ปี 68 เน้นโฟกัส 2 ธุรกิจหลัก “ก๊าซ-ธุรกิจลดคาร์บอน” มุ่งสู่ Net Zero เล็งปรับโครงสร้างธุรกิจในเครือ หาพันธมิตรร่วมทุน ทั้งอินโนบิก โรงกลั่น ปิโตรฯ ไออาร์พีซี เลิกแผนผลิตรถอีวี เน้นขยายบริการสถานีชาร์จ
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการ 9 เดือนแรกปี 2567 ว่า ปตท.และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 80,761 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1,502 ล้านบาท หรือ 2% โดยหลัก ๆ มาจากผลการดำเนินงานของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่มีปริมาณขายเพิ่มขึ้น เนื่องจากโครงการ G1/61 ที่เพิ่มอัตราการผลิตก๊าซในเดือนมีนาคม 2567 มีกำไรจากการขายเงินลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ
รวมถึงกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าผลการดำเนินงานโดยรวมของ ปตท.และบริษัทย่อยลดลง เช่น ธุรกิจการกลั่นมี Market GRM ลดลง รวมถึงผลขาดทุนสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้น ธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานลดลง เนื่องจากธุรกิจโรงแยกก๊าซมีกำไรขั้นต้นลดลงจากต้นทุนขายที่เพิ่มขึ้น จากผลกระทบนโยบาย Single Pool ในปีนี้ รวมถึงการด้อยค่าสินทรัพย์ธุรกิจปิโตรเคมี อย่างไรก็ตาม ช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ ปตท.และบริษัทในเครือ มีการนำเงินส่งรัฐ รวม 42,669 ล้านบาท
นายคงกระพันกล่าวว่า ส่วนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปี 2568 ปตท.จะโฟกัสอยู่ที่ธุรกิจหลัก 2 ด้าน คือ ธุรกิจก๊าซ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายการลดคาร์บอน (Decarbonization) โดยผ่านแนวทาง C3 ได้แก่ Climate Resilience Business ปรับพอร์ตธุรกิจให้เติบโต ควบคู่กับการลดการปล่อยคาร์บอน Carbon-Concious Asset ปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิต
นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ มุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาด Coalition, Co-Creation and Collective Efforts for All ประสานความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พัฒนาเทคโนโลยีในการลดก๊าซเรือนกระจก หรือการใช้เทคโนโลยี CCS (Carbon Capture and Storage)
ซึ่ง ปตท.จะเร่งผลักดันธุรกิจใหม่ด้านการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ CCS และธุรกิจไฮโดรเจน เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการกักเก็บคาร์บอนจากกระบวนการผลิตของบริษัทในกลุ่ม รวมถึงการลงทุนในธุรกิจไฮโดรเจนต่างประเทศ รองรับการใช้พลังงานสะอาดเพิ่มเติม
“ปตท.อยู่ระหว่างการจ้างที่ปรึกษาในการปรับโครงสร้างธุรกิจในเครือ เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยแนวคิดคือ การมุ่งโฟกัสในธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจก๊าซที่ยังขยายตัวได้ดี และธุรกิจการลดคาร์บอน เพราะโลกมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ซึ่งคาดว่า แนวทางการปรับโครงสร้างจะเสร็จประมาณกลางเดือนธันวาคมนี้”
นายคงกระพันกล่าวว่า ส่วนแผนการทำธุรกิจในปี 2568 คาดว่า ในส่วนของธุรกิจต้นน้ำ (Upstream) มีแนวโน้มดีขึ้น โดยในส่วนของธุรกิจสำรวจ ขุดเจาะพลังงานยังไปได้ดี ต้นทุนไม่เพิ่มขึ้น โรงแยกก๊าซน่าจะมีผลประกอบการที่ดีขึ้น ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีจะยังทรงตัว โดยได้ผ่านจุดต่ำสุดของธุรกิจขาลงไปแล้ว แต่ซัพพลายยังล้น ส่วนธุรกิจโรงกลั่น จะยังมีมาร์จิ้นที่ลดลงอยู่ ซึ่ง ปตท.มีแผนในการหาพันธมิตรที่มีศักยภาพเข้ามาร่วมทุน และเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจในเครือ เช่น
กรณีของบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) ทำธุรกิจด้านยาเวชภัณฑ์และเทคโนโลยีทางการแพทย์ ซึ่งเป็นการลงทุนที่ดี และ ปตท.มีนโยบายให้สามารถจัดหาเงินทุนได้ด้วยตัวเอง ดังนั้น จะมีการหาพันธมิตรเข้ามาเสริมธุรกิจ หรือมีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯในอนาคต ในขณะที่บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด(มหาชน) หรือจีพีเอสซี ทำธุรกิจโรงไฟฟ้า
โดยป้อนไฟฟ้าให้กับเครือ ปตท. ก็จะเน้นเรื่องการลดคาร์บอน ด้วยการลดการใช้ถ่านหินให้เป็นศูนย์ เพิ่มการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน รวมถึงการศึกษาตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ SMR ส่วนธุรกิจรถไฟฟ้า EV จะเลิกแผนการลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และหันมาเน้นขยายสถานีชาร์จไฟฟ้า ในลักษณะซิงเกิลแบรนด์ และปรับพอร์ตธุรกิจ
โดยลดการลงทุนธุรกิจที่ไม่ทำกำไร เน้นลงทุนในธุรกิจที่มีประโยชน์ ส่วนธุรกิจเคมีภายใต้บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ก็จะเน้นการผลิตสารเคมีที่มียอดขายสูง สร้างกำไรได้ดี เร่งหาพันธมิตรเสริมธุรกิจเช่นเดียวกับธุรกิจปิโตรเคมี และธุรกิจโรงกลั่นในเครือ
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเงินลงทุนของ ปตท. จะยังคงมีเม็ดเงินประมาณปีละ 2-3 แสนล้านบาทเช่นเดิม เพียงแต่จะเน้นหนักไปที่ธุรกิจหลักคือ ธุรกิจก๊าซ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการลดคาร์บอน เพื่อไปสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ สอดรับกับทิศทางการเติบโตของพลังงานโลก