
คอลัมน์ : สัมภาษณ์พิเศษ
อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย ต้องเตรียมรับมือกับความท้าทาย ทั้งในสภาวะการค้า การส่งออก รวมไปถึงมาตรการต่าง ๆ ในอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้น ภายหลังผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นมารับตำแหน่งอีกครั้ง ซึ่งจะมีผลต่อการค้าโลก มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่หลายประเทศเริ่มให้ความสำคัญ เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการไทยจะต้องเตรียมการรับมือปัจจัยเหล่านี้
“ประชาชาติธุรกิจ” ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ นายยศธน กิจกุศล นายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย ถึงทิศทางตลาดส่งออกและการค้าในประเทศ สำหรับโค้งสุดท้าย และปี 2568 ภายใต้ปัจจัยเสี่ยง และเทรนด์สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น

ส่งออกเสื้อผ้าปี’67 ดีแต่นำเข้าพุ่ง
การส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ในช่วงปี 2565 มีการนำเข้าสินค้าเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้นำเข้ายังคงมีสต๊อก ส่งผลให้ปี 2566 การส่งออกสินค้าชะลอตัวลงบ้าง เนื่องจากผู้ประกอบการ ผู้นำเข้าจะต้องระบายสินค้าเดิม ส่วนปี 2567 ผู้นำเข้ามีการนำเข้าสินค้ามากขึ้น เพื่อมาเติมสต๊อกสินค้าที่หายไป โดยการส่งออกสินค้าไทยส่วนใหญ่เป็นสินค้าเสื้อผ้ากีฬาที่ผลิตให้กับแบรนด์ดังของโลก
โดยการส่งออกสินค้าสิ่งทอ-เครื่องนุ่งห่ม ในภาพรวมของไทยในช่วง 9 เดือนของปี 2567 ขยายตัว 7-8% เติบโตกว่าที่คาดการณ์ไว้ แม้ว่าการส่งออกสิ่งทอจะหดตัวบ้างเล็กน้อย แต่ยังถือว่าในภาพรวมยังขยายตัวไปในทางที่ดี การส่งออกทั้งปีมองว่าจะขยายตัว 3-5% หรือมีมูลค่า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะที่การนำเข้าเครื่องนุ่งห่มจากต่างประเทศ ของไทยในปี 2567 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าสำเร็จรูปมาจากจีน ขยายตัว 18% เวียดนาม ขยายตัว 23% และอิตาลี ขยายตัว 3% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าเสื้อผ้าแบรนด์เนม และปัจจัยหลักในการนำเข้าเป็นผลจากราคาถูก และรัฐบาลจีนได้สนับสนุนภาคเอกชนเพื่อส่งเสริมการส่งออก นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ประกอบการจีน ยังได้นำคณะเอกชนมาจัดแสดงสินค้าเครื่องนุ่งห่มและสิ่งทอภายในประเทศไทยตลอดเวลา มีผลต่อให้ประเทศไทย มีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมากขึ้น
อีกทั้งจีนและประเทศในกลุ่มอาเซียนรวมถึงไทย ยังมีข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ส่งผลให้การนำเข้าสินค้าภาษีเป็น 0% ทำให้ผู้ประกอบการไทยนำเข้าสินค้าจากจีนและเวียดนามมากขึ้น แม้จะเทียบค่าแรง จะมีความใกล้เคียงกับของประเทศไทยก็ตาม และเมื่อดูตัวเลขเทียบนำเข้าสินค้าเครื่องนุ่งห่ม คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 66% ของการส่งออก และมีโอกาสจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเยอะ จากอดีตไม่ถึง 50%
นอกจากนี้ ยังมีการนำเข้าสินค้ามือสองเข้ามาเป็นจำนวนมาก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกด้วย
“ภาพตลาดสินค้าในประเทศจึงยังเป็นภาวะที่น่าเป็นห่วง ผลจากภาวะเศรษฐกิจยังคงชะลอตัว ผู้บริโภคยังมีพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยในกลุ่มเสื้อผ้าระมัดระวัง เข้าห้างสรรพสินค้าน้อยลง ซื้อสินค้าผ่านออนไลน์มากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการจะต้องปรับตัวด้วยการลดต้นทุน จึงเป็นผลทำให้นำเข้าสินค้ามากขึ้น ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์ต่อจากนี้”
ผวาทรัมป์กีดกันดันต้นทุนพุ่ง
ส่วนตลาดการส่งออกปี 2568 ยังมองภาพการส่งออกทั้งปีในกลุ่มสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มขยายตัวอยู่ในกรอบ 3-5% ถ้าไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติ ไม่มีการสู้รบเพิ่มขึ้น โดยที่ผ่านมาแม้จะมีปัญหามาอย่างต่อเนื่อง แต่สถานการณ์ไม่มีอะไรรุนแรง ยังมองว่าการส่งออกยังขยายตัวได้ ส่วนกรณีนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้ง มองว่าการค้าระหว่างประเทศจะมีการแข่งขันเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจะมีการออกมาตรการกีดกันทางการค้า ซึ่งจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อภาพการค้าและส่งออกทั่วโลก
“ตลาดสหรัฐในปีนี้ยังส่งออกสดใส โดยขยายตัว 10% เนื่องจากการนำเข้าปีที่ผ่านมาลดลง ปีนี้จึงมีผลต่อการนำเข้าเพิ่มขึ้น แต่ปัจจัยของอัตราแลกเปลี่ยนยังต้องจับตาเพราะจะมีผลต่อการส่งออกด้วย ส่วนปีหน้าก็ยังรอติดตามปัจจัยที่จะมีผลกระทบ”
สำหรับตลาดส่งออกสำคัญของสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ตลาดหลักยังคงเป็นสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกประมาณ 37% ญี่ปุ่น 20% ตามตลาดเบลเยียมและเยอรมันรองลงมา
อย่างไรก็ดี 2-3 ปีที่ผ่านมา สมาคมร่วมกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จัดกิจกรรมนำผู้ประกอบการไทยไปแสดงสินค้าในตลาดญี่ปุ่น มีผลทำให้การส่งออกในการส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้น ได้ลูกค้าตลาดใหม่ที่จะส่งออกสินค้า โดยหน่วยงานภาครัฐถือว่าเป็นหน่วยงานสำคัญ ในการส่งเสริมและผลักดันการส่งออกสินค้าไทยไปต่างประเทศ
รวมไปถึงการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการเพื่อให้สอดรับกับเทรนด์โลก และเป็นการช่วยเหลือด้านลดต้นทุนและระยะเวลาในการผลิต รวมไปถึงยกระดับสินค้าและการผลิตเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และสุดท้ายการผลักดัน FTA ไทย-อียู เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันในตลาดโลก
นอกจากนี้ เทรนด์ของการผลิตสินค้าเพื่อขายและส่งออกมีแนวโน้มคำสั่งซื้อเล็กลง เพื่อตอบสนองให้กับผู้บริโภค และยังพบว่ามีดีไซเนอร์ เจ้าของแบรนด์ใหม่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยต่อปริมาณและคำสั่งซื้อให้มีขนาดเล็กลง โดยผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการจะต้องมีการบริหารต้นทุนให้มากขึ้น
โดยทางสมาคมก็ได้มีคำแนะนำกับผู้ประกอบการในเรื่องนี้ เพราะตลอดห่วงโซ่การผลิตจะต้องมีการปรับเปลี่ยน และยกระดับการผลิตเพื่อตอบสนองคำสั่งซื้อที่เปลี่ยนไปให้มากขึ้น เช่น การพิมพ์ผ้า การฟอกย้อม การทอผ้า
เล็งตลาดใหม่ “แอฟริกา-อียิปต์”
ส่วนเรื่องของ Sustainability หรือความยั่งยืน หลายประเทศให้ความสำคัญในเรื่องนี้มากขึ้น อย่างเช่น จีน ก็ให้ความสำคัญในเรื่องของสินค้าสีเขียว ความยั่งยืน จะเห็นได้ว่าต่างประเทศก็มีมาตรการออกมาดูแล เช่น มาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Machanism หรือมาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน) ซึ่งทางสมาคมยังคงติดตามมาตรการและการบังคับใช้
ล่าสุดพบว่ามีการขยายกรอบระยะเวลาออกไปอีก แต่สมาชิกของสมาคมก็ต้องเตรียมการรับมือในเรื่องนี้ ซึ่งช่วงเดือนธันวาคม 2567 จะมีการจัดงานสัมมนา เชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้แก่สมาชิก เพราะหากเราอยากอยู่ในตลาด เราจะต้องให้ความสำคัญและมีความเข้าใจ เพื่อที่จะสามารถแข่งขันไปในต่างประเทศได้
“ผู้ประกอบการเครื่องนุ่งห่ม เริ่มให้ความสำคัญและหาแนวทางวิธีปฏิบัติมาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจ อย่างเช่น การลดขยะในโรงงาน การติดตั้งโซลาร์เซลล์เพื่อช่วยลดต้นทุน เพราะต้องยอมรับว่าเป็นต้นทุนสำคัญในการผลิตสินค้าเครื่องนุ่งห่ม ส่วนค่าแรง ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงของรัฐบาล เราเห็นด้วย แต่การปรับขึ้นค่าแรง มองว่าไม่ควรปรับขึ้นแบบก้าวกระโดด ควรปรับแบบค่อยเป็นค่อยไป และตามปัจจัยที่เกี่ยวข้อง และไม่ควรขึ้นเท่ากันทั่วประเทศ และค่าไฟฟ้าก็เป็นต้นทุนที่สำคัญ”
อย่างไรก็ดี ตลอดห่วงโซ่การผลิตเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ มีความเชื่อมโยงกัน จึงเป็นสิ่งที่จะต้องติดตาม และเตรียมรับมือเพราะเชื่อว่าเทรนด์โลกกำลังมาซึ่งจะมีผลต่อภาพการค้าและการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในตลาดโลก
ขณะที่ภาพการลงทุนในต่างประเทศ มองเห็นโอกาสการขยายการลงทุนไปยังตลาดใหม่ที่น่าสนใจ เช่น แอฟริกา อียิปต์ เพื่อจะใช้ประโยชน์ในการส่งออกสินค้าเข้าไปในตลาดยุโรป