“สนธิรัตน์” หารือรัฐอาร์เจนตินา หวังดันอุตฯอาหารสู่ตลาดโลก สานต่อนโยบายหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2561 ได้หารือร่วมกับผู้ว่าการรัฐทางตอนกลาง 3 รัฐของสาธารณรัฐอาร์เจนตินา ได้แก่ รัฐกอร์โดบา (Cordoba) รัฐซานตา เฟ (Santa Fe) และรัฐเอนเตรริโอส (Entre Rios) รวมทั้งเลขาธิการสภาการลงทุนแห่งอาร์เจนตินา ในโอกาสเยือนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมงานมหกรรมอาหารเอเชีย “THAIFEX : – World of Food Asia 2018”

โดยรัฐทั้งสามของอาร์เจนตินานับเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าเกษตรและปศุสัตว์ที่สำคัญของประเทศ อาทิ ถั่วเหลือง ข้าวสาลี เนื้อโค เนื้อไก่ น้ำนมโค ข้าวโพด ส้ม และสินค้าประมง คล้ายคลึงกับไทยซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารของภูมิภาค และสามารถเชื่อมโยงเข้ากับอาเซียนโดยเฉพาะ CLMV ประเทศไทยกับรัฐทั้ง 3 ของอาร์เจนตินาจึงสามารถร่วมมือกัน เกื้อกูลประโยชน์ต่อกันได้ นอกจากความสัมพันธ์ทางการค้าไทย-อาร์เจนตินา ซึ่งมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องแล้ว ทั้งสองฝ่ายอาจพัฒนาและขยายความร่วมมือด้านการลงทุน ด้านการเกษตร และอุตสาหกรรมอาหาร ระหว่างกันต่อไป การพบปะหารือกันในครั้งนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สองประเทศจะได้ก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน ซึ่งไทยได้ให้ความสำคัญกับการเป็น “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ” เพื่อผลประโยชน์ที่ยั่งยืนของทั้งสองประเทศ

นอกจากนี้ อาร์เจนตินาเห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพทางด้านเทคโนโลยีทางอาหาร มีความเชี่ยวชาญในการแปรรูปอาหารและสินค้าเกษตร จึงเชิญชวนผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมอาหารของไทยเข้าไปร่วมลงทุนในภาคกลางของอาร์เจนตินาเพื่อใช้ประโยชน์จากสินค้าวัตถุดิบทางการเกษตรที่มีความหลากหลายในพื้นที่ ซึ่งในการเยือนไทยของผู้ว่าการทั้ง 3 รัฐในครั้งนี้ ได้นำคณะผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารจากอาร์เจนตินาร่วมแสดงสินค้าในงาน THAIFEX ด้วย

ทั้งนี้ อาร์เจนตินาเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของไทยในภูมิภาคอเมริกาใต้ รองจากบราซิล โดยในปี 2560 การค้าระหว่างไทยและอาร์เจนตินามีมูลค่า 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ร้อยละ 10 โดยไทยส่งออกไปอาร์เจนตินาราว 1,108 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปอาร์เจนตินา อาทิ เครื่องยนต์ ยานยนต์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกล ผลิตภัณฑ์ยาง เหล็กและผลิตภัณฑ์ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ในขณะที่ไทยนำเข้าสินค้าจากอาร์เจนตินาเป็นมูลค่าราว 588 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าวัตถุดิบทางการเกษตร อาทิ กากถั่วเหลือง เนื้อโค สินค้าประมง ผลิตภัณฑ์ยาและเวชกรรม และผลิตภัณฑ์โลหะ