ปธ.สภาพัฒน์ แนะชูจุดแข็งซอฟต์พาวเวอร์ไทย สร้างความมั่นคงประเทศ

นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)

ศุภวุฒิ ประธานสภาพัฒน์ ชี้ ประเทศไทยกำลังเจอท้าทาย ทั้งปัจจัยที่เกิดจากภายใน-ภายนอกที่กระทบเศรษฐกิจไทย แนะไทย ยกระดับภาคบริการ ภาคอุตสาหกรรม ชูจุดแข็งซอฟต์พาวเวอร์สร้างความมั่นคงประเทศ

นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง”การสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของไทย” ในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 42  ว่า  ความมั่นคงของเศรษฐกิจไทยจะต้องได้รับการแก้ไข ทั้งปัญหาภายในและต้องจัดการกับความท้าทายที่เกิดจากภายนอก ที่จะส่งกับผลกระทบไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริหารความเสี่ยงจากความมั่นคงของประเทศที่สั่นคลอน โดยเกิดจากปัญหาสงครามระหว่างประเทศ การได้ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ความสัมพันธ์ระหว่างจีนสหรัฐที่กำลังเสื่อม

และนอกจากนี้ ยังมีปัญหาที่ต้องรอการแก้ไขของประเทศ เช่น หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นทำให้กำลังซื้อประเทศลดลง ประชาชนไทยกำลังเข้าสู่ผู้สูงอายุทำให้จีดีพีมีแนวโน้มขยายตัวช้าลง 0.8-1% ต่อปี การขาดแคนแรงงาน คุณภาพการศึกษาทดถอย ภาคการเกษตรขาดประสิทธิภาพผลผลิตต่ำคิดเป็น 9% ของจีดีพี ราคาพลังงานแพงกว่าประเทศคู่แข่ง การพึ่งพาการนำเข้าก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบเป็นสัดส่วนที่สูงถึง 9% ของจีดีพี ส่งผลให้ประเทศไทยต้องเผชิญความเสี่ยงทางด้านภูมิศาสตร์ และการขาดทุนงบประมาณ สัดส่วนการจัดเก็บภาษีลดลง 15% ของจีดีพี นอกจากนี้ยังประสบปัญหาความไม่แน่นอนทางสถานการณ์ทางการเมืองต่อนโยบายทางเศรษฐกิจด้วย

ทั้งนี้ ปัญหาใหม่ที่ประเทศไทยต้องประสบจาก 2 มหาอำนาจระหว่างจีน-สหรัฐฯ ในส่วนของประเทศจีน กำลังพลิกฟื้นเศรษฐกิจโดยการเร่งส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ให้ความสำคัญกับการกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศเป็นเรื่องรอง โดยมุ่งเน้นส่วนแบ่งตลาดการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของทุกประเทศ ส่งผลให้กดดันกำลังการผลิตและการส่งออกสินค้าของประเทศไทยด้วย

นโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบีดีสหรัฐ มีนโยบายและมาตรการกีดกันทางการค้าที่ชัดเจน ซึ่งประเทศไทยจะอยู่ในประเทศที่เกินดุลของสหรัฐฯ ถึง 40,000 ล้านดอลลาร์ ตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ของประเทศไทย คิดเป็นมูลค่า 10% ของ GDP ซึ่งนายโดนัล ทรัมป์ มองว่าจากการที่ประเทศต่าง ๆ เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นการที่สหรัฐฯ ถูกเอาเปรียบ ถูกโกงจากประเทศต่าง ๆ จึงจะมีนโยบายการปรับภาษีนำเข้าจากประเทศเกินดุล 10-20% และจะเก็บภาษีนำเข้าจากประเทศจีนสูงถึง 60% รองลงมา คือสหภาพยุโรปเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์

สำหรับประเทศไทย เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นอันดับที่ 12 และขึ้นบัญชีประเทศไทยแล้ว ทั้งนี้ สหรัฐฯ จะมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 10-20% และจะมีการเจรจากับประเทศต่าง ๆ เป็นกรณีไป นอกจากนี้ ประเทศไทย เก็บภาษีศุลกากรนำเข้าเฉลี่ยจากสหรัฐฯ ประมาณ 9.7% โดยจะถูกจับตามองเป็นพิเศษโดยเฉพาะสินค้าเกษตรของประเทศไทยที่เก็บภาษีผักผลไม้นำเข้าจากสหรัฐฯ สูงเป็นพิเศษ 20-30% อีกทั้ง ประเทศไทยได้มีการห้ามนำเข้าเนื้อหมู เนื้อวัว โดยอ้างถึงสารเนื้อแดง ทำให้สหรัฐฯ ตัดสิทธิ์ GSP ไทยเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นเป้า จากนโยบายการเก็บภาษีสินค้านำเข้าของประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ADVERTISMENT

อีกทั้ง ความเสี่ยงที่จะการเกิดสงครามการค้าโดยรวมของทั่วโลกจะทำให้การค้าหดตัวลง โดยหากเกิดขึ้น จะกระทบกับประเทศไทย เนื่องจากพึ่งพาการส่งออกถึง 50% ของ GDP ซึ่งผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายของสหรัฐฯ คือ ผลกระทบด้านความมั่นคงและด้านดอกเบี้ยกับประเทศไทย ในส่วนด้านความมั่นคงนั้น สหรัฐฯ ต้องการให้ประเทศพันธมิตรจ่ายเงินสนับสนุนการป้องกันประเทศของตนเองเพิ่มมากขึ้น เพื่อลดภาระทางทหารของสหรัฐฯ ตลอดจนนโยบายการเพิ่มภาษี

นโยบายการเนรเทศคนต่างด้าว 11 ล้านคน ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ จะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เงินเฟ้อลดลงช้า ดอกเบี้ยสูงขึ้น และนโยบายการลดภาษีนิติบุคคลและการลดภาษีคนรวยจะส่งผลให้ขาดดุลงบประมาณและดอกเบี้ยระยะยาวสูงขึ้น สิ่งเหล่านี้กระทบประเทศไทย ทั้งทางตรงและทางอ้อม

ADVERTISMENT

นายศุภวุฒิ กล่าวว่าอีกว่า ปัญหาที่คั่งค้างของประเทศไทย ทั้งปัญหาหนี้สินครัวเรือนและหนี้สาธารณะในระดับสูง และข้อจำกัดของนโยบายการคลัง โดยแนวทางในการจะแก้ไขของประเทศไทย คือ ต้องทำให้ GDP ของประเทศเติบโตได้อย่างเร็ว ทั้งจากปัจจัยภายนอกประเทศที่ต้องพยายามป้องกันภัยคุกคามต่าง ๆ  และปัจจัยในประเทศ คือ ความพยายามในการจะเพิ่มประสิทธิภาพปัจจัยการผลิต โดยเฉพาะการนำเข้าพลังงานที่ควบคุมได้ยาก ซึ่งประเทศไทยต้องเร่งลงทุนพลังงานแสงอาทิตย์ การลงทุนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ตลอดจนการทำให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพร่างกาย  ที่แข็งแรงและสามารถทำงานได้นานขึ้น หรือเสียชีวิตเร็วเพื่อลดภาระในการดูแล เป็นต้น

นอกจากนี้ หากพิจารณาถึงกลยุทธ์ในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของไทยจากการจัดลำดับซอฟพาวเวอร์ของไทยพบว่า ประเทศไทยมีจุดแข็ง ได้แก่ ความคุ้นเคย ชื่อเสียง ธุรกิจและการค้า มรดกทางวัฒนธรรม ผู้คนและค่านิยมของคนไทย ในส่วนจุดอ่อน ได้แก่ การศึกษาและธรรมาภิบาล เป็นต้น พร้อมทั้งอาหารก็ถือเป็นจุดเด่นอีกหนึ่งอย่างของประเทศไทย ที่จะต้องพยายามสร้างประสบการณ์และเน้นการให้บริการที่มีมูลค่าสูง

สำหรับภาคบริการทุกประเทศในโลกผ่านการพัฒนาเศรษฐกิจที่พึ่งพาภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรมเป็นหลักจะปรับเปลี่ยนมาเป็นการพึ่งพาภาคบริการที่มากยิ่งขึ้น เห็นได้จากมูลค่าภาคบริการ เช่น สหรัฐฯ คิดเป็น 70% ของ GDP ขณะที่ประเทศไทย คิดเป็น 58.5% ของ GDP และจีน คิดเป็น 54.6% ของ GDP เป็นต้น

โดยภาคอุตสาหกรรม จะต้องหันมาพัฒนาในกลุ่มเฉพาะทางและมีความสามารถในการแข่งขัน เช่น อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ การผลิตเครื่องมือแพทย์ อาหารเชิงสุขภาพ บรรจุภัณฑ์ เครื่องสำอาง ผ้าไหม แฟชั่นเมืองร้อน ซึ่งต้องพัฒนาคุณภาพให้ตรงความต้องการของตลาดเพิ่มมากขึ้น

“ประเทศไทยจะต้องพึ่งพาจุดแข็งด้านซอฟต์พาวเวอร์ ด้วยการแปลงสิ่งที่เป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น” เพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตและสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน”