
สนค. เผยการส่งออกไทยเดือนตุลาคม 2567 ขยายตัว 14.6% และมีมูลค่า 27,222.1 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงสุดในรอบ 19 เดือน ปัจจัยจากสินค้ากลุ่มเทคโนโลยี เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ การขยายตัว ชี้หาก 2 เดือนจากนี้ไทยส่งออกเฉลี่ย 23,040 ล้านเหรียญสหรัฐ จะทำให้การส่งออกของไทยทั้งปีโต 4%
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนตุลาคม และ 10 เดือนแรกของปี 2567 พบว่า การส่งออกของไทยในเดือนตุลาคม 2567 มีมูลค่า 27,222.1 ล้านเหรียญสหรัฐ (896,735 ล้านบาท) ขยายตัว 14.6% หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวที่ 10.7% ทำมูลค่าสูงสุดในรอบ 19 เดือน
โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญจากการส่งออกสินค้ากลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ที่เติบโตในระดับสูง สอดรับกับกระแสการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ หลายประเทศยังมีการเร่งนำเข้าเครื่องจักรสำหรับการผลิต และวัตถุดิบที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม ซึ่งนอกจากจะรองรับการฟื้นตัวของภาคการผลิตแล้ว ยังเป็นการเตรียมความพร้อมเชิงกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านการค้าระหว่างประเทศที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยบวกจากการขยายตัวของความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารในตลาดโลก และสถานการณ์เงินเฟ้อในตลาดส่งออกหลักที่เริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้กำลังซื้อในตลาดเหล่านั้นปรับตัวดีขึ้น
ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 28,016.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 15.9% ส่งผลให้ดุลการค้าของไทย ขาดดุล 794.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ การส่งออกไทย 10 เดือนแรกของปี 2567 ขยายตัว 4.9% และเมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัว 4.8% ส่วนการนำเข้า มีมูลค่า 257,149.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 6.6% ส่งผลดุลการค้า 10 เดือนแรกของปี 2567 ขาดดุล 6,751.2 ล้านเหรียญสหรัฐ
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 7.2% (YOY) ขยายตัวต่อเนื่อง 4 เดือน โดยสินค้าเกษตร ขยายตัว 6.8% และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 7.6% โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ข้าว ขยายตัว 10.1% ขยายตัวต่อเนื่อง 5 เดือน (ขยายตัวในตลาดแอฟริกาใต้ สหรัฐ ฟิลิปปินส์ อิรัก และแคเมอรูน)
ยางพารา ขยายตัว 32.6% ขยายตัวต่อเนื่อง 12 เดือน (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐ มาเลเซีย เกาหลีใต้ และอินเดีย) ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 12.4 กลับมาขยายตัวหลังจากหดตัวในเดือนก่อนหน้า (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร มาเลเซีย เนเธอร์แลนด์ และสิงคโปร์)
ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง หดตัว 3.3% หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (หดตัวในตลาดจีน สหรัฐ ฮ่องกง สิงคโปร์ และอินเดีย แต่ขยายตัวในตลาดอินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม เกาหลีใต้ และเมียนมา) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง หดตัว 30.6% หดตัวต่อเนื่อง 12 เดือน (หดตัวในตลาดจีน ไต้หวัน มาเลเซีย อินเดีย และแคนาดา แต่ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐ เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย)
น้ำตาลทราย หดตัว 12.8% หดตัวต่อเนื่อง 10 เดือน (หดตัวในตลาดไต้หวัน สิงคโปร์ เกาหลีใต้ เมียนมา และจีน แต่ขยายตัวในตลาดกัมพูชา ฟิลิปปินส์ ลาว เวียดนาม และมาเลเซีย) ทั้งนี้ 10 เดือนแรกของปี 2567 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 5.6
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 18.7% (YOY) ขยายตัวต่อเนื่อง 7 เดือน โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัว 77.5% ขยายตัวต่อเนื่อง 7 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐ จีน เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี และสิงคโปร์) ผลิตภัณฑ์ยาง ขยายตัว 27.2% ขยายตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และมาเลเซีย)
เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 43.0 ขยายตัวต่อเนื่อง 8 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐ สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น อินเดีย และจีน) เคมีภัณฑ์ ขยายตัวร้อยละ 18.7 ขยายตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน อินเดีย อินโดนีเซีย สหรัฐ และมาเลเซีย) เม็ดพลาสติก ขยายตัวร้อยละ 4.8 กลับมาขยายตัวในรอบ 3 เดือน (ขยายตัวในตลาดอินเดีย ญี่ปุ่น เวียดนาม มาเลเซีย และสหรัฐ) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ขยายตัวร้อยละ 2.2 กลับมาขยายตัวในรอบ 6 เดือน (ขยายตัวในตลาดอินเดีย จีน ออสเตรเลีย เวียดนาม และกัมพูชา)
ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ หดตัว 16.8% หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (หดตัวในตลาดออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น ซาอุดีอาระเบีย และมาเลเซีย แต่ขยายตัวในตลาดเวียดนาม สหรัฐ อาร์เจนตินา บราซิล และอิรัก) อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์และไดโอด หดตัว 34.7% หดตัวต่อเนื่อง 8 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐ จีน ไต้หวัน เวียดนาม และมาเก๊า แต่ขยายตัวในตลาดฮ่องกง อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์) ทั้งนี้ 10 เดือนแรกของปี 2567 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 5.2
ตลาดส่งออกสำคัญ
การส่งออกไปตลาดสำคัญส่วนใหญ่ขยายตัวได้ดี สอดคล้องกับสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะตลาดจีน และญี่ปุ่นที่กลับมาขยายตัว เช่นเดียวกับตลาดสหรัฐ CLMV สหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักรที่ขยายตัวสูงต่อเนื่อง ทั้งนี้ ภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่าง ๆ สรุปได้ดังนี้ (1) ตลาดหลัก ขยายตัวร้อยละ 16.3
โดยขยายตัวต่อเนื่องในตลาดสหรัฐ ร้อยละ 25.3 สหภาพยุโรป (27) ร้อยละ 22.1 และ CLMV ร้อยละ 27.9 กลับมาขยายตัวในตลาดจีน ร้อยละ 8.5 ญี่ปุ่น ร้อยละ 7.0 และอาเซียน (5) ร้อยละ 6.8 (2) ตลาดรอง ขยายตัวร้อยละ 2.4 โดยขยายตัว
ในตลาดเอเชียใต้ ร้อยละ 12.8 ตะวันออกกลาง ร้อยละ 1.9 ละตินอเมริกา ร้อยละ 31.5 สหราชอาณาจักร ร้อยละ 58.1 และรัสเซียและกลุ่ม CIS ร้อยละ 3.0 ในตลาดขณะที่ตลาดทวีปออสเตรเลีย และแอฟริกา หดตัวร้อยละ 14.0 และร้อยละ 3.1 ตามลำดับ (3) ตลาดอื่น ๆ ขยายตัวร้อยละ 118.9
แนวโน้มการส่งออกในระยะถัดไป
แนวโน้มการส่งออกในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ส่งผลให้อัตราการขยายตัวของการส่งออกทั้งปี 2567 บรรลุเกินกว่าเป้าหมายในการทำงาน (working target) ตามที่ได้ตั้งไว้ โดยคาดว่าหากการส่งออก 2 เดือนสุดท้ายสามารถทำได้เฉลี่ยเดือนละ 23,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จะทำให้การส่งออกของไทยทั้งปีขยายตัว 4% หรือมีมูลค่า 290,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรืออาจจะโตถึง 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดยมีปัจจัยบวกที่สำคัญจากการฟื้นตัวภาคอุตสาหกรรมของคู่ค้า การใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น การเติบโตของการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารไทย โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลและฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี ประกอบกับต้นทุนโลจิสติกส์ที่เอื้ออำนวยจากการปรับลดลงของค่าระวางเรือ
อย่างไรก็ดี การส่งออกของไทยยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐในอนาคต ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน สถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงดำเนินอยู่ รวมถึงผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนนโยบายการส่งออกข้าวของอินเดียที่อาจส่งผลต่อการส่งออกข้าวไทย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จำเป็นต้องเฝ้าติดตามและวิเคราะห์ปัจจัยเหล่านี้อย่างใกล้ชิด เพื่อหาแนวทางรับมือที่เหมาะสมต่อสถานการณ์ต่อไป