
ซีอีโอ ปตท. ลุยเป้า NET ZERO หนุนใช้ความเชี่ยวชาญร่วมบริษัทในกลุ่ม ใช้ไฮโดรเจน-CCS ชี้ทำควบคู่ คาดไฮโดรเจนเห็นความชัดเจนก่อน ด้าน ปตท.สผ.นำร่องแซนด์บ็อกแหล่งอาทิตย์ กักเก็บคาร์บอนล้านตันต่อปี
ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวภายในงานสัมมนา iBusiness Forum “2025 Net Zero กับความท้าทายของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ Net Zero and the Challenges of The New Global Economy” ว่า ทิศทางของโลก โดยเฉพาะ climate change นำไปสู่การเปลี่ยนผ่านทางสภาพภูมิอากาศ ส่งผลต่อทิศทางเศรษฐกิจและการใช้พลังงานเป็นอย่างมาก โดยเฉพพาะอย่างยิ่งปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ สภาวะสงคราม ซึ่งโลกต้องการความมั่นคงทางพลังงานถึง 75% แต่ต้องทำควบคู่ไปกับการลดการคาร์บอน
ดังนั้นการใช้พลังงานที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงขึ้นถึง 46% จากปี 2000 รวมถึงมีสัดส่วนประชากรที่ใช้พลังงานเพิ่มขึ้น 20% โดยมีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่พุ่งสูงในประเทศขนาดใหญ่ ๆ เช่น จีน สหรัฐอเมริกา รัสเซีย ขณะที่ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ถึง 1% เมื่อเทียบกับประเทศต่าง ๆ ในโลกเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก
ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็น natural fuel
ดร.คงกระพันกล่าวต่อไปว่า ก๊าซธรรมชาติเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (transitional fuel) ไม่มีปริมาณการลดลงเนื่องจากในบรรดาเชื้อเพลิงฟอสซิล, ไฮโดรคาร์บอน ก๊าซธรรมชาติถือเป็นเชื้อเพลิงที่มีความสะอาดมากที่สุดเมื่อเทียบกับถ่านหิน น้ำมัน ขณะเดียวกัน renewable, ชีวมวล, โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ (SMR) ต้องใช้ระยะเวลานานและมีข้อจำกัดต่าง ๆที่ต้องพัฒนา ดังนั้นในอีก 20-30 ปีในอนาคต ก๊าซธรรมชาติจะเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมากแม้จะมีคาร์บอนต่ำแต่จะต้องลดการปล่อยคาร์บอนควบคู่กันด้วย
ปัจจุบันอาเซียนเป็นประเทศที่มีความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติมากกว่าที่ผลิตได้แม้แทบทุกประเทศจะมีแหล่งผลิต เช่น ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ซึ่งประเทศไทยมีความสามารถในการผลิตก๊าซธรรมชาติใช้เองราว 50% และนำเข้าจากต่างประเทศอีก 50% ประกอบด้วย ประเทศเมียนมาราว 10% และจาก LNG เพิ่มเติม ขณะที่ต้องนำเข้าน้ำมันราว 90% ทั้งนี้ ในปี พ.ศ. 2566 อาเซียนมีท่อขนส่ง LNG จำนวน 13 ท่อ การขนส่งข้ามแดนระยะทาง 3,631 กม.
CCS & ไฮโดรเจน ลดคาร์บอน
อย่างไรก็ตาม การนำก๊าซมาผลิตไฟฟ้าก็ต้องยอมรับว่ามีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงอยู่ จึงต้องทำเรื่องลดการปลดปล่อยคาร์บอนควบคู่กันไป ซึ่งบริษัทชั้นนำระดับโลกมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี 2050 เช่นเดียวกับ ปตท. ด้วย
โดยกลุ่ม ปตท. จะดำเนินควบคู่ 2 วิธี คือ การพัฒนาโครงการ Carbon Capture and Storage หรือการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) มีต่างประเทศเริ่มดำเนินการแล้ว เช่น ยุโรป, สหรัฐอเมริกา มีมากกว่า 100 แหล่ง ด้วยปัจจัยบวกทางภูมิศาสตร์และการสนับสนุนจากภาครัฐ นอกจากนี้ยังมีการใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนในส่วนผสมในกลุ่มอุตสาหกรรมตามแผน PDP ประเทศที่สัดส่วน 5% แม้ปัจจุบันจะมีราคาแพง แต่ในอนาคตจะค่อย ๆ ถูกลง ปัจจุบันไทยเริ่มมีการใช้ไฮโดรเจนสีเทา (Gray Hydrogen) ที่ผลิตจากก๊าซธรรมชาติ
“ทำไฮโดรเจน-CCS ควบคู่กันไปแต่คาดว่าไฮโดรเจนอาจจะเห็นความชัดเจนก่อน“ ดร.คงกระพันกล่าว
แหล่งอาทิตย์เก็บคาร์บอน ล้านตัน/ปี
ดร.คงกระพันกล่าวว่า การทำธุรกิจคาร์บอนต่ำของกลุ่ม ปตท. ด้วยธุรกิจที่มีความถนัดและเดินหน้าสร้างความมั่นคงทางพลังงานด้วยบทบาทของบริษัทพลังงานแห่งชาติ เช่น การผลิตไฟฟ้าของ GPSC เชื้อเพลิงที่นำมาใช้จะเริ่มเป็นคาร์บอนต่ำ ใช้ถ่านหินลดลง รวมถึงใช้ renewable และไฮโดรเจนมากขึ้น ขณะเดียวกันในบริษัทในกลุ่ม ปตท. ใครปล่อยคาร์บอนก็ต้องมีหน้าที่จัดเก็บด้วยตัวเอง โดยเก็บไว้ในสถานะของเหลว ปตท. ลงทุนท่อแข็ง เพื่อเก็บคาร์บอนบนฝั่งก่อนจัดเก็บลงสู่ทะเล
นอกจากนี้ ปตท.สผ. ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการสำรวจก็ได้ดำเนินการขุดก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยขึ้นมาใช้เป็นระยะเวลากว่า 30 ปี ซึ่งอ่าวไทยสามารถกักเก็บคาร์บอนได้ 2 วิธี คือ 1. กักเก็บคาร์บอนในหลุมก๊าซที่ไม่มีก๊าซธรรมชาติแล้ว อยู่ในสถานะของเหลว 2. อยู่ในสภาพน้ำเกลือเข้มข้น สามารถนำคาร์บอนไปละลายได้
ปัจจุบัน ปตท.สผ. กำลังดำเนินการสร้าง sandbox ซึ่งเป็นการศึกษาและพัฒนาโครงการ CCS ที่โครงการอาทิตย์ในอ่าวไทย ตั้งแต่ปี 2564 สามารถเก็บคาร์บอนได้ 1 ล้านตันต่อปี ขณะนี้เริ่มทดลองภายในกลุ่ม ปตท. หากประสบความสำเร็จก็จะขยายต่อไป อาจจะมีการชักชวนกลุ่ม WHA ร่วมโครงการ CCS ในอนาคต ทั้งนี้ ปตท. ได้พูดคุยและทำงานร่วมกับภาครัฐ เพื่อหาแนวทาง กฎหมายรองรับ ถูกต้องและชัดเจน
”ปตท. สร้างความมั่นคงทางพลังงาน สร้างการเติบโตควบคู่กับการลดก๊าซเรือนกระจก“ ดร.คงกระพันกล่าว