‘พิชัย’ ยกทีมคุยมะกันกุมภาฯ 68 ขอหลุด WL พ่วงต่ออายุ ‘จีเอสพี’

พิชัย นริพทะพันธุ์
พิชัย นริพทะพันธุ์

“พิชัย” ขยับตัวไว ยกทีมบุกสหรัฐ ก.พ. 68 เจรจา “ทรัมป์” ขอปลด Watch List ต่ออายุจีเอสพี แจงไทยเกินดุลสหรัฐเพราะเป็นฐานผลิตให้สหรัฐเพื่อส่งออก ไม่ควรโดนเก็บภาษีเพิ่ม ส่วนอีกด้าน เร่งเดินหน้าเอฟทีเอกับประเทศอื่น เอกชนเชียร์ขอเป็นคู่ค้ายุทธศาสตร์กับสหรัฐ อุตฯสิ่งทอ-อาหารยังมั่นใจปีหน้าเติบโต

นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ประกาศผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ทรูท โซเชียล (Truth Social) เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า ในวันที่ 20 มกราคม 2568 ซึ่งเป็นวันแรกที่เข้ารับตำแหน่งจะออกคำสั่งฝ่ายบริหารให้เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา 25% และจีน 10% อ้างเป็นการลงโทษที่มีการอพยพเข้าสหรัฐอย่างผิดกฎหมาย และการค้ายาเสพติดผ่านพรมแดนสองประเทศเพื่อนบ้าน

อัตราภาษีสำหรับสินค้าจีนที่ทรัมป์ระบุในครั้งนี้ ต่ำกว่าที่เคยประกาศไว้ในช่วงหาเสียง ว่าจะเพิกถอนสถานะ “ชาติที่ได้รับความอนุเคราะห์ยิ่ง” (Most-Favored Nation Treatment: MFN) ของจีน และจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเกินขั้นต่ำ 60% อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าตัวเลขอัตราภาษี 10% ที่ทรัมป์ระบุในครั้งนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเก็บภาษีสินค้าจีนเท่านั้น

ตามการรายงานของบลูมเบิร์ก (Bloomberg) นีล โธมัส (Neil Thomas) ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองจีนจากศูนย์เพื่อการวิเคราะห์เกี่ยวกับจีน (Center for China Analysis) ของสถาบันนโยบายสังคมเอเชีย (Asia Society Policy Institute) กล่าวว่า ภาษีที่ทรัมป์กล่าวถึงนี้มุ่งเป้าไปที่การปราบปรามการค้าเฟนทานิลโดยเฉพาะ และไม่ได้หมายความว่าภาษีนำเข้าสินค้าจีนทั้งหมด 60% ที่ทรัมป์สัญญาไว้จะต้องเป็นโมฆะ

“พิชัย” บินเจรจามะกัน ก.พ. 68

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า กรณีสหรัฐอเมริกาได้ประกาศจะเก็บภาษีสินค้านำเข้ากับเม็กซิโก ซึ่งเป็นประเทศที่สหรัฐขาดดุลการค้ามากที่สุดอันดับหนึ่ง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มใช้ในช่วงวันที่ 20 มกราคม 2568 โดยให้เหตุผลถึงการค้าที่ไม่เป็นธรรม มีผลทำให้สหรัฐขาดดุลการค้า และมีแนวโน้มใช้กับหลายประเทศที่สหรัฐมีการขาดดุลด้วย สำหรับประเทศไทยนั้น สหรัฐขาดดุลการค้า 40,725 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นอันดับที่ 12 ที่สหรัฐขาดดุลด้วย

“สหรัฐมีแนวโน้มที่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากับหลายประเทศ โดยเฉพาะจีนมีเป้าหมายจะขึ้นภาษีนำเข้าถึง 60% ขณะที่ประเทศอื่น ๆ จะเก็บภาษีประมาณ 10-20% โดยจากนี้จะต้องพิจารณาและดูกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าสหรัฐจะมีการขึ้นภาษี อย่างไรก็ตาม สนค.ไม่ได้มีความกังวล เพราะทุกประเทศโดนมาตรการเดียวกันทั้งหมด

ADVERTISMENT

นอกจากนี้ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยังมีแผนที่จะเดินทางไปสหรัฐ เพื่อหารือกับผู้บริหารระดับสูง ระดับนโยบายของสหรัฐ เพื่อเจรจาการค้า และต้องยอมรับว่านักลงทุนสหรัฐมีการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะร่วมหาแนวทางในการส่งเสริมและผลักดันการส่งออกสินค้าไทย และดึงการลงทุนจากสหรัฐด้วย” นายพูนพงษ์กล่าว

ขอปลด WL ต่ออายุจีเอสพี

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตนจะนำคณะผู้บริหารเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เพื่อพบปะหารือกับคณะผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาลชุดใหม่ของสหรัฐ และหากมีโอกาสอาจจะได้พบปะหารือกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ รวมถึงรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐด้วย

ADVERTISMENT

โดยฝ่ายไทยจะใช้โอกาสนี้เป็นเวทีชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีไทยมีสถานะเกินดุลการค้ากับสหรัฐ ซึ่งสาเหตุที่ไทยเกินดุลสหรัฐ ไม่ได้เกิดจากการส่งออกสินค้าไทยเข้าไป แต่ส่วนหนึ่งเป็นสินค้าที่เกิดจากการเข้ามาลงทุนของสหรัฐ เป็นการผลิตเพื่อการส่งออก

ดังนั้น สหรัฐไม่ควรพิจารณาขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย เพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลการค้ากับไทย รวมทั้งหากสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้า ต้องการให้มีการพิจารณาข้อชี้แจงดังกล่าว เพราะหากมีการขึ้นภาษีอาจจะกระทบการลงทุนของสหรัฐเองที่ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออก

โดยมั่นใจว่าสหรัฐจะรับฟัง พร้อมกันนี้จะขอให้สหรัฐปลดไทยออกจากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามอง (Watch List) ภายใต้มาตรา 301 ด้านทรัพย์สินทางปัญญา และขอให้สหรัฐช่วยพิจารณาเร่งรัดการต่ออายุการให้สิทธิ GSP ที่ได้หมดอายุไปเมื่อปลายปี 2563 ให้เสร็จโดยเร็ว

ไทยยังเดินหน้า FTA ปท.อื่น

ส่วนการจัดทำเจรจาสิทธิพิเศษทางภาษี (เอฟทีเอ) ไทย-สหรัฐนั้น คาดว่าคงจะไม่เกิดขึ้น เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐมีนโยบายหยุดการเจรจาเอฟทีเอกับทุกประเทศเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่สมัยรัฐบาลโจ ไบเดน ที่ผ่านมาแล้ว แต่อย่างไรก็ดี การเจรจาเอฟทีเอกับประเทศอื่น ไทยจะยังคงเร่งเดินหน้าจัดทำเอฟทีเอ

อาทิ เขตการค้าเสรีไทย-สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) ซึ่งมีสมาชิก 4 ประเทศคือ ไอซ์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ นอร์เวย์ และสวิตเซอร์แลนด์ คาดว่าจะปิดดีลได้เดือน ม.ค. 2568 และจะมีอีกหลายกรอบตามมา เช่น FTA ระหว่างไทยกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) FTA ไทย-สหภาพยุโรป เป็นต้น

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 ตนได้หารือกับประธานเจ้าหน้าที่บริหารสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน (Ambassador Ted Osius) และคณะนักธุรกิจจากสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน (USABC) กว่า 50 คน จากบริษัทชั้นนำของสหรัฐ

อาทิ Amazon, Apple, Boeing, Citi, Google, Mastercard และ Seagate ซึ่งนักลงทุนสหรัฐแจ้งว่าจะเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น โดยย้ายเข้ามาราว 30-40% แล้ว เช่น ซีเกต กูเกิ้ล เอชพี โดยเฉพาะการย้ายฐานมาจากจีน โดยในอนาคตไทยจะกลายเป็นศูนย์การผลิต PCB ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขณะนี้ถือว่าไทยกลับมาฮอตและได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติอีกครั้ง

ทั้งนี้ มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐปี 2567 (ม.ค.-ก.ย.) มีมูลค่า 55,681.20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 9.84 ซึ่งไทยส่งออกไปสหรัฐมีมูลค่า 40,610.98 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปี 2566 ร้อยละ 12.48 สินค้าส่งออกสำคัญ

ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด และสินค้านำเข้าสำคัญ อาทิ น้ำมันดิบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ ก๊าซธรรมชาติ แผงวงจรไฟฟ้า และเครื่องบิน

ดึงไทย-สหรัฐ คู่ค้าเชิงยุทธศาสตร์

นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า ทางภาคเอกชนเห็นด้วยที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะเยือนสหรัฐเพื่อเจรจาพูดคุย โดยเอกชนมองว่าการหารือสร้างประโยชน์ทั้งสองฝ่าย และเป็นการดึงดูดการลงทุน และทำอย่างไรให้การค้าไทย-สหรัฐเป็นคู่ค้าเชิงยุทธศาสตร์ได้

และนอกจากนี้ หลายประเทศให้ความสำคัญในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น อินเดีย เวียดนาม หรือเกาหลีใต้ และปัจจุบันนักลงทุนสหรัฐในไทยมีเป็นจำนวนมาก และการขึ้นภาษีอาจจะมีผลกระทบต่อผู้ส่งออกสหรัฐ และยังเห็นว่าสหรัฐสามารถใช้ไทยเป็นซัพพลายเชนในการผลิต โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์

นอกจากนี้ ไทยยังมีความพร้อมด้านโลจิสติกส์ การขนส่งที่จะเชื่อมโยงการส่งออกให้กับสินค้า เพื่อส่งออกไปทั่วโลก รวมไปถึงสหรัฐ และยังเห็นว่าไทยควรจะวางตัวเป็นกลางเหมือนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และไทยควรที่จะยกระดับพัฒนาสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่า รวมไปถึงลดต้นทุนการผลิตเพื่อการแข่งขันในตลาดโลก

ส่งออกอาหารยังมั่นใจโต 3-5%

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานคณะกรรมการอาหารแปรรูปและอาหารแห่งอนาคตกล่าวว่า จากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าในกรอบ 10-60% โดยมองว่าประเทศไทยควรที่จะเปิดโต๊ะเจรจากับสหรัฐ โดยใช้สิทธิการแลกเปลี่ยนนำเข้า-ส่งออกสินค้า

“ประเทศไทยควรจะต้องเตรียมข้อมูลรายละเอียดสินค้าที่จะสามารถแลกเปลี่ยนเพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่าย โดยไทยจะส่งออกสินค้าไหนไปสหรัฐ และสินค้าไหนจะนำเข้าจากสหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่สหรัฐผลิตกลุ่มสินค้าธัญพืช เช่น ข้าวสาลี ถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์”

ต้องยอมรับว่าสินค้ากลุ่มอาหารมีการแข่งขันสูง และคู่แข่งในตลาดสหรัฐมีจำนวนมาก ทั้งอเมริกาใต้ และจีน เป็นต้น โดยเฉลี่ยไทยส่งออกสินค้ากลุ่มอาหารเข้าไปในสหรัฐสัดส่วน 10% การสร้างโอกาสให้กับสินค้าไทย ต้องเร่งเปิดการเจรจา เพื่อให้ไทยยังแข่งขันและไม่ให้ถูกขึ้นภาษีนำเข้า

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการส่งออกสินค้าอาหารของไทยไปสหรัฐและตลาดโลกจะยังคงเติบโต เนื่องจากเป็นสินค้าพื้นฐานในการดำรงชีวิตและยังมีความจำเป็น หากสหรัฐมีการขึ้นภาษีนำเข้า เชื่อว่าจะขึ้นไม่มาก เนื่องจากยังต้องคำนึงถึงผู้บริโภคและประชากรภายในประเทศ

ทั้งนี้ ภาพรวมการส่งออกสินค้าอาหารไทยปี 2567 คาดว่าจะเกิน 5% เนื่องจากว่าการส่งออกไก่ อาหารทะเล ข้าว มีการขยายตัวดี ส่วนปี 2568 คาดว่าจะขยายตัว 3% และมีโอกาสเติบโตถึง 5%

สิ่งทอเล็งตลาดแอฟริกา-อียิปต์

นายยศธน กิจกุศล นายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทยกล่าวว่า การกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกสมัยของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เชื่อว่าการค้าระหว่างประเทศจะแข่งขันรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะจะมีการออกมาตรการกีดกันทางการค้า ซึ่งจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อภาพการค้าและส่งออกทั่วโลก

โดยการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ตลาดหลักยังคงเป็นสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกประมาณ 37% ญี่ปุ่น 20% ซึ่งยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด แต่หากจะประเมินในตอนนี้ยังเร็วไป เพราะการส่งออกในปี 2567 ยังขยายตัวและมีทิศทางที่สดใส

แต่ยังมั่นใจว่ากลุ่มสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มปี 2568 ยังขยายตัวอยู่ในกรอบ 3-5% ถ้าไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติ ไม่มีการสู้รบเพิ่มขึ้น โดยที่ผ่านมาแม้จะมีปัญหามาอย่างต่อเนื่อง แต่สถานการณ์ไม่มีอะไรรุนแรง การส่งออกยังขยายตัวได้

“ส่วนภาพการลงทุนในต่างประเทศ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มองโอกาสที่จะไปขยายการลงทุน เช่น แอฟริกา อียิปต์ เพื่อจะใช้ประโยชน์ในการส่งออกสินค้าเข้าไปในตลาดยุโรปและประเทศใกล้เคียง”

นายวิบูลย์ รักสาสน์เจริญผล เลขาธิการ กลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การขึ้นภาษีของทรัมป์ในครั้งนี้ไม่ต่างจากเมื่อครั้งก่อน คือ เก็บภาษีประมาณ 20% เป็นผลกระทบที่ไทยเคยรับมาแล้ว และยังคงได้รับต่อไปเหมือนเดิม

นั่นคือการส่งสินค้าไปขายยากขึ้น ถูกตรวจสอบมากขึ้น เพียงแต่ครั้งนี้ไทยจะถูกมองว่าเป็นประเทศที่ 3 ที่จีนสวมรอยเข้ามาผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปสหรัฐ สิ่งที่ต้องรับมือ คือ การที่ผู้ผลิตของไทยจะต้องระวังเรื่องการตรวจสอบ แสดงตัวให้ชัดเจนว่าเป็นสินค้าที่ผลิตจากไทย ไม่ใช่จีนสวมรอย

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาผู้ประกอบการไทยพยายามหาตลาดใหม่ ๆ เช่น กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้ามุ่งไปที่ CLMV รวมถึงอเมริกาใต้ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สามารถเข้าได้ทุกตลาด เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มีความต้องการมากจากทั่วโลก