
สภาอุตสาหกรรมฯ เผยเอกชนไทยกังวลนโยบาย “ทรัมป์ 2.0” ปานกลาง คาดกระทบการค้าและการลงทุน หวั่นกำแพงภาษีสกัดจีนทำสินค้าจีนทะลักไทยเพิ่ม มองเป็นโอกาสชิงตลาดสหรัฐแทนจีน เตรียมรับทัพนักลงทุนจากต่างชาติ รัฐต้องไม่นิ่ง ส่งเสริมการผลิตสินค้าที่ใช้ชิ้นส่วนในประเทศ ปกป้อง Supply Chain เร่งออกมาตรการเข้มงวดสินค้าจีนทะลัก
หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 42 ในเดือนพฤศจิกายน 2567 ภายใต้หัวข้อ “มุมมองภาคอุตสาหกรรมต่อผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0” พบว่าผู้บริหาร ส.อ.ท.ส่วนใหญ่มีความกังวลต่อนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ อยู่ที่ระดับปานกลาง เนื่องจากยังต้องติดตามว่านโยบายดังกล่าวจะมีความชัดเจนอย่างไร หลังจากเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2568
อย่างไรก็ตาม ภายใต้นโยบาย America First ที่จะมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศในอัตรา 10% และเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจีนสูงสุด 60% นั้น ผู้บริหาร ส.อ.ท.มีความกังวลต่อผลกระทบทางอ้อมจากการที่จีนต้องหาตลาดใหม่ทดแทนตลาดสหรัฐ ซึ่งจะทำให้สินค้าจีนทะลักเข้ามาแข่งขันในตลาดอาเซียนและประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
รวมทั้งความเสี่ยงต่อมาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้มงวดขึ้นจากการเกินดุลการค้าสหรัฐ โดยตั้งแต่เดือนมกราคม-ตุลาคม 2567 ไทยได้ดุลการค้าสหรัฐมูลค่ากว่า 28,904 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือขยายตัว 20.56% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะเดียวกัน นโยบายทรัมป์ 2.0 อาจเป็นโอกาสที่ประเทศไทยจะส่งออกสินค้าไปสหรัฐมากยิ่งขึ้นทดแทนสินค้าจีน ตลอดจนเป็นโอกาสดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติเข้ามาในประเทศไทย และการเข้าไปมีส่วนในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) สินค้าเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามาลงทุนในประเทศ
อย่างไรก็ตาม จากผลสำรวจพบว่าผู้บริหาร ส.อ.ท.ส่วนใหญ่มองว่าภาคอุตสาหกรรมจะต้องเร่งพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับของตลาดโลก ควบคู่ไปกับการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับธุรกิจในการรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ที่มีผลพวงมาจากนโยบายทรัมป์ 2.0 รวมทั้งมีการวางแผนกระจายการส่งออกสินค้าไปยังตลาดอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ นอกเหนือจากสหรัฐ เพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต
ส่วนภาครัฐควรบูรณาการความร่วมมือในการส่งเสริมการผลิตสินค้าที่ใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศให้มากขึ้น และให้ความสำคัญกับปกป้อง Supply Chain ภายในประเทศไทย รวมทั้งมีการออกมาตรการที่เข้มงวดในการรับมือสินค้าจีนโดยเฉพาะสินค้าราคาถูกที่ไม่ได้มาตรฐาน
จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 150 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 47 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด การสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 42 จำนวน 7 คำถาม ดังนี้
1.นโยบายทรัมป์ 2.0 จะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมในระดับใด
- อันดับ 1 : ปานกลาง 56.7%
- อันดับ 2 : มาก 25.3%
- อันดับ 3 : น้อย 18.0%
2.ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลต่อนโยบายทรัมป์ 2.0 ในเรื่องใด
- อันดับ 1 : การปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศในอัตรา 10% 66.0% และเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจีนสูงสุด 60%
- อันดับ 2 : มาตรการดึงการลงทุนกลับสหรัฐ (Reshoring) และนโยบาย America First 31.3%
- อันดับ 3 : การถอนตัวจากข้อตกลง Paris Agreement โดยเน้นความมั่นคง 30.7% ด้านพลังงานก่อนการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ
- อันดับ 4 : การปรับยุทธศาสตร์การเจรจาความร่วมมือระหว่างประเทศ 28.0% เป็นแบบทวิภาคีแทนแบบพหุภาคี
3.นโยบายทรัมป์ 2.0 จะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยในเรื่องใด
- อันดับ 1 : โอกาสของประเทศไทยในการส่งออกสินค้าไปสหรัฐ 68.0% ทดแทนสินค้าจีน
- อันดับ 2 : การโยกย้ายการลงทุนจากต่างชาติเข้ามาในประเทศไทย 62.0% เนื่องจากสงครามการค้า และการเข้าไปมีส่วนในห่วงโซ่อุปทาน สินค้าเทคโนโลยีใหม่
- อันดับ 3 : ผลกระทบจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ลดลง เนื่องจาก 30.7% การลดบทบาทของสหรัฐในความขัดแย้ง
- อันดับ 4 : โอกาสของผู้ประกอบการไทยที่ต้องการเข้าไปลงทุนในสหรัฐ 6.7%
4.นโยบายทรัมป์ 2.0 จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทยในเรื่องใด
- อันดับ 1 : สินค้าจีนทะลักเข้ามาแข่งขันในตลาดอาเซียน 70.0% และประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
- อันดับ 2 : ความเสี่ยงต่อมาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้มงวดขึ้น 61.3% จากการเกินดุลการค้าสหรัฐ และการที่จีนใช้ไทย เป็นช่องทางผ่านของสินค้าไปยังสหรัฐ
- อันดับ 3 : ต้นทุนการส่งออกที่สูงขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้า 39.3% ของสหรัฐ และความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก
- อันดับ 4 : นักลงทุนจากสหรัฐชะลอการลงทุนในประเทศไทยจากนโยบาย America First 8.7%
5.ภาครัฐควรมีการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 อย่างไร
- อันดับ 1 : ส่งเสริมการผลิตสินค้าที่ใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ 56.7% และให้ความสำคัญกับ Supply Chain ในประเทศไทย รวมทั้งออกมาตรการรับมือสินค้าจีน
- อันดับ 2 : เร่งปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบให้ทันสมัย รองรับมาตรการใหม่ ๆ 52.0% ที่อาจกระทบต่อภาคธุรกิจ
- อันดับ 3 : เร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) เพื่อสร้างแต้มต่อในตลาดที่มีศักยภาพ 47.3% เช่น FTA ไทย-EU
- อันดับ 4 : รักษาบทบาทความเป็นกลางทางภูมิรัฐศาสตร์เพื่อสร้างประโยชน์ 26.0% จากการเบี่ยงเบนทางการค้าและการลงทุน
6.ภาคเอกชนควรปรับตัวรับมือผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 อย่างไร
- อันดับ 1 : พัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับของตลาดโลก 66.7% และปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต
- อันดับ 2 : กระจายการส่งออกสินค้าไปยังตลาดอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ 63.3% นอกเหนือจากสหรัฐ
- อันดับ 3 : ใช้เครื่องมือการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 29.3% เพื่อรับมือกับความผันผวนของค่าเงิน
- อันดับ 4 : สร้างโอกาสในการขยายการลงทุนในสหรัฐ 13.3% และประเทศพันธมิตรของสหรัฐ
7.นโยบายทรัมป์ 2.0 จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจด้านใด
- อันดับ 1 : การค้าและการลงทุน 62.0%
- อันดับ 2 : ค่าเงินบาท 52.0%
- อันดับ 3 : ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ 25.3%
- อันดับ 4 : ความผันผวนของตลาดทุน และประเทศพันธมิตรของสหรัฐ 19.3%