กรมพัฒนาธุรกิจการค้ารุกต่อ สแกนเข้มธุรกิจเสี่ยง 26,830 ราย เทียบรายชื่อกับ 442 รายที่โดนจับฐานนอมินี-บัญชีม้า ชื่อซ้ำไล่เช็กบิล พร้อมลดทุนจดทะเบียนจาก 5 ล้านเหลือ 1 ล้านหวังคัดกรองถี่ยิบ ประสานกรมที่ดินสกัดต่างชาติฮุบที่ดินผ่านนอมินี
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า กรมร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานพันธมิตร ในการปราบปรามปัญหาการเปิดบัญชีม้าของนิติบุคคล และการใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (Nominee) ให้หมดไป โดยจะเพิ่มความเข้มงวดด้านการจดทะเบียนธุรกิจ เพื่อป้องกันปัญหาบัญชีม้านิติบุคคลและป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพนำความน่าเชื่อถือจากการจดทะเบียนนิติบุคคลไปใช้หลอกลวงประชาชน รวมถึงติดตามตรวจสอบนิติบุคคลที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงในการเป็นนอมินี และร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเพื่อลงโทษผู้กระทำความผิด
โดยปี 2568 กรมมีแผนตรวจสอบธุรกิจที่มีลักษณะเข้าข่ายนอมินี จำนวน 26,830 ราย ซึ่งจะเน้นในธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ธุรกิจค้าที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ต โลจิสติกส์และการขนส่ง แพลตฟอร์มออนไลน์ และคลังสินค้า เป็นต้น โดยพุ่งเป้าในทุกจังหวัด ตามที่ได้รับการร้องเรียนจากภาคเอกชน ภาคธุรกิจ หรือมีข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันไม่ให้คนต่างด้าวมาแอบอ้างใช้คนไทยเป็นนอมินี และทำธุรกิจที่สงวนไว้ให้กับคนไทย
หม่อมหลวงภู่ทอง ทองใหญ่ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า ล่าสุดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เปิดผลการจับกุมผู้กระทำผิดที่มีลักษณะนอมินีและบัญชีม้านิติบุคคล จำนวนทั้งสิ้น 442 ราย โดยประกอบธุรกิจประเภท ร้านค้า ร้านอาหารซูเปอร์มาร์เก็ต นำเที่ยว โกดัง/คลังสินค้า รับแลกเงินต่างประเทศ/เงินดิจิทัล ถือครองอสังหาริมทรัพย์โดยผิดกฎหมาย และหลายบริษัทไม่มีกิจการอยู่จริง ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการร้องเรียนและชี้เป้าหมายของผู้กระทำผิดให้กับหน่วยงาน
หลังจากนี้กรมจะนำรายชื่อนิติบุคคล 442 รายมาคัดกรองว่า มีนิติบุคคลซ้ำกับเป้าหมายที่กรมจะตรวจสอบในปี 2568 จำนวน 26,830 รายหรือไม่ เพื่อลดการซ้ำซ้อน และทำให้ดำเนินการได้เร็วขึ้น แต่ยังไม่สามารถระบุรายจังหวัดหรือธุรกิจที่จะเข้าไปตรวจสอบได้ เนื่องจากว่าจะทำให้นิติบุคคล ผู้ที่เข้าข่ายเป็นนอมินี บัญชีม้านิติบุคคลรู้ตัว
“ในจำนวนนิติบุคคล 442 ราย กรมจะส่งหนังสือให้กับผู้ประกอบการ ให้ข้อมูลเพื่อทำการตรวจสอบให้มีความลงลึกและชัดเจนให้มากขึ้นต่อไป ในตอนนี้บริษัทดังกล่าวยังคงถือว่าดำเนินกิจการอยู่ ดังนั้น จึงต้องหาหลักฐานพิสูจน์ให้มีความชัดเจนมากที่สุดก่อนจะดำเนินคดี”
ม.ล.ภู่ทองกล่าวว่า กรมยังมีนโยบายปรับลดเพดานมูลค่าทุนจดทะเบียน เพื่อให้มีการตรวจสอบเชิงลึกมากขึ้น โดยจะลดลงมาอยู่ที่ 1 ล้านบาท จากเดิมจะตรวจสอบนิติบุคคลที่มีทุนจดทะเบียนตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อที่จะคัดกรองผู้ที่เข้าข่ายกระทำผิดมากขึ้น อีกทั้งจะร่วมกับกรมที่ดินในการติดตามตรวจสอบต่างชาติที่เข้ามาถือครองและซื้อที่ดิน
นอกจากนี้ กรมอยู่ระหว่างการจัดทำระบบวิเคราะห์แนวโน้มพฤติกรรมของนิติบุคคลที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจตามกฎหมาย (IBAS) เพื่อจับผิดนิติบุคคลเสี่ยงที่คาดว่าจะเสร็จในระยะ 6 เดือน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งได้รับงบประมาณจากปี 2568 แล้ว