
บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผู้นำองค์กร เมื่อ นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ครบวาระในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร วันที่ 11 ธันวาคม 2567 โดย ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้เข้ารับตำแหน่งแทน ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2567
ก่อนจะอำลาตำแหน่ง นายดิษทัต ได้จัดงานแถลงข่าว “New Chapter of Disathat” เพื่อแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์การดำเนินธุรกิจตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
เลิกถือหุ้นแฟลช-โคเอ็น
นายดิษทัตกล่าวว่า ในปี 2568 นับเป็นอีกปีที่มีความท้าทายและเป็นปีแห่งการลงทุนของ OR เพราะมีศักยภาพในเรื่องของเงิน แต่จะต้องลงทุนร่วมกับพันธมิตรขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในธุรกิจกลุ่มไลฟ์สไตล์ ซึ่งได้พูดคุยแลกเปลี่ยนนโยบายบางส่วนกับ ม.ล.ปีกทองแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาควบรวมกิจการ (M&A) ประมาณ 2-3 ราย โดยได้ตั้งเป้า EBITDA Margin เป็น 30% ในปี 2568 จากเดิมอยู่ที่ 27% และเพิ่มขึ้นเป็น 50% ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม มีเป้าหมายที่จะรุกธุรกิจใหม่ ๆ โดยเฉพาะธุรกิจ Health and Wellness รวมถึงตั้งเป้าขยายสาขาร้าน Found & Found ธุรกิจ Health & Beauty Retail จาก 5 เป็น 10 สาขาในอนาคต
สำหรับการลงทุนในธุรกิจต่างประเทศ ซึ่งสร้างกำไรได้ปีละ 600-700 ล้านบาท ขณะที่กำไรขั้นต้น (Gross Profit) ประมาณ 1 พันล้านบาท แต่เชื่อว่าในอนาคตจะสามารถเติบโตได้สูงกว่า ซึ่งในปี 2568 คาดว่าจะเห็นการขยายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ทั้ง Marine Terminal และสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ที่กัมพูชา ส่วนที่ประเทศลาว คาดว่าจะทำกำไรทะลุ 100 ล้านบาท รวมถึงมีการขยายแหล่งจัดหาเมล็ดกาแฟราว 60 ตัน นอกจากนี้ยังขยายโอกาสทางธุรกิจสู่เวียดนาม ผ่านการสร้างฐานธุรกิจ LPG แห่งใหม่อีกด้วย
ขณะที่การทบทวนแผนธุรกิจที่ผ่านมา ได้มีการปรับพอร์ต ตัดธุรกิจกลุ่มไลฟ์สไตล์ออกมากที่สุด เนื่องจากมีบางตัวที่ไม่ทำกำไร ก็จำเป็นจะต้องเลิกกิจการ ถอนตัวออกมา เช่น ร้านคาเฟ่ อเมซอนที่จีน (OR CHINA), TEXAS CHICKEN, บริษัท อิ่มทรัพย์โกลบอล คูซีน ผู้ดำเนินการร้านอาหารญี่ปุ่น โคเอ็น, บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส ขายหุ้นออกไป, แอปพลิเคชั่น FIXX ส่วนธุรกิจ ออร์บิท ดิจิทัล ขณะนี้อยู่ระหว่างทบทวนรูปแบบธุรกิจและนำเข้าตลาดหุ้น
ลุยดิจิทัลรับมือ Virtual Bank
จากการเริ่มต้นทำงานในสายงานเทรดดิ้ง ปตท.สู่การก้าวขึ้นเป็นผู้นำ OR โดยวางรากฐานสำคัญขององค์กรผ่านแนวคิด RISE OR ที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ (R-Result-oriented) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ, การตัดสินใจอย่างชาญฉลาด (I-Intelligence) โดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยตัดสินใจในข้อมูลขององค์กร
การร่วมกันทำ ร่วมกันเติบโต (S-Synergy) และการสร้าง Mindset แห่งความเป็นเจ้าของธุรกิจ (E-Entrepreneurship) พร้อมทั้งผลักดันการเปลี่ยนแปลงในการทำงานขององค์กร โดยส่งเสริมให้บุคลากรก้าวออกจาก Comfort Zone สู่ Growth Zone ที่เปิดรับโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพใหม่ โดยเฉพาะการผลักดันให้เกิด Digital Transformation ด้วยการเป็นบริษัทแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่บูรณาการการจัดการระหว่างธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกด้วยระบบ SAP S/4HANA ใน 2 อุตสาหกรรม
พร้อมพัฒนาระบบติดตามและควบคุมการดำเนินงานแบบศูนย์รวม (Dashboard Control Tower) ที่ช่วยให้มองเห็นภาพรวมการดำเนินงานตลอดห่วงโซ่อุปทาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจ
รวมถึงต่อยอดสู่การพัฒนาสู่ธุรกิจใหม่ ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) ที่จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มจากข้อมูลทางธุรกิจ เช่น สมาชิก Blue Card ประมาณ 8 ล้านราย ซึ่งถือเป็น Big Data ของบริษัทมาใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยร่วมมือกับพันธมิตร คือ ธนาคารกรุงไทย และ AIS ซึ่งเป็นการร่วมมือกันโดยนำเอาศักยภาพและความเชี่ยวชาญของทั้ง 3 บริษัท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการทดลองระบบ
ผนึก 3 การบินใช้ SAFS ปี’68
ที่ผ่านมาได้วางรากฐานของ OR ผ่านการเสริมความแข็งแกร่งของระบบนิเวศธุรกิจในหลายด้าน โดยเฉพาะการพัฒนาด้านที่มีความคล่องตัว (Mobility) ผ่านการเป็น Thailand Mobility Partner ที่ขยายเครือข่าย EV Station PluZ ให้ครอบคลุม 77 จังหวัด รวมถึงการผลักดันการใช้เชื้อเพลิงการบินแบบยั่งยืน (SAF) ร่วมกับการบินไทย เวียตเจ็ทแอร์ และบางกอกแอร์เวย์ส ซึ่งคาดว่าจะพร้อม COD และ Supply ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568
พร้อมทั้งปรับ Mode การขนส่งโดยเพิ่มการใช้ขนส่งทางท่อแทนทางรถยนต์หรือรถไฟ เพื่อการบริหารจัดการด้านระบบโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพที่สุด รวมทั้งพัฒนา Retail Mixed-use Platform รูปแบบใหม่ผ่าน PTT Station Flagship ที่มีธุรกิจ Nonoil ถึง 80% และต่อยอดสู่ OR Space ที่มุ่งเน้นธุรกิจ Nonoil 100%
ปรับอเมซอน สร้าง รง.ผลิตแก้ว
OR ได้รองรับความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค ควบคู่ไปกับความสำเร็จในธุรกิจไลฟ์สไตล์ โดยคาเฟ่ อเมซอน ถือว่าประสบความสำเร็จในรอบ 20 ปี ทำยอดขายกว่า 1 ล้านแก้วต่อวัน สามารถขยายสาขาในไทยได้ถึง 4,200 สาขา และ 400-500 สาขาในต่างประเทศ
ทำให้มีการอนุมัติสร้างโรงผลิตแก้วพลาสติกเพื่อใช้ภายในร้านคาเฟ่ อเมซอน เนื่องจากเดิมซื้อจากภายนอก 100% และใน 1 ปี ใช้แก้วถึง 400 ล้านแก้ว โดยจะเริ่มดำเนินการในช่วงไตรมาส 4 ปี 2568 พร้อมขยายความแข็งแกร่งให้ธุรกิจต้นน้ำผ่าน Cafe Amazon Park ที่ จ.ลำปาง
รวมถึงการเปิดจุดรับซื้อและโรงแปรรูปเมล็ดกาแฟที่ อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ที่ได้รับซื้อเมล็ดกาแฟจากเกษตรกรชุมชนในพื้นที่ โดยเพิ่มจุดรับซื้อที่เชียงใหม่จากเกษตรกร 116 ราย จำนวน 371.2 ตัน ซึ่งนอกจากจะเป็นโรงงานแปรรูปเมล็ดกาแฟต้นแบบแล้ว ยังสร้างการเติบโตร่วมกับชุมชนตามแนวทาง OR SDG ด้วยการพัฒนาระบบ KALA Application เพื่อรวบรวมข้อมูลเกษตรกร พื้นที่ปลูก และคุณภาพเมล็ดกาแฟ
นายดิษทัตกล่าวว่า อยากเห็น OR เป็น Flagship ที่แข็งแรงและยั่งยืนของกลุ่ม ปตท. ซึ่งได้วางกลยุทธ์เป็นช่วง 5 ปีข้างหน้า ไม่ใช่ปีต่อปี
“ปัจจุบันความต้องการเมล็ดกาแฟในไทยสูงถึง 65,000 ตันต่อปี ในประเทศผลิตได้เพียง 20,000 ตัน ซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศถึง 60% OR จึงปรับ Ecosystem กาแฟ ทำให้คาเฟ่ อเมซอน มีความแตกต่างจากแบรนด์อื่น ๆ คือ นวัตกรรม” นายดิษทัตกล่าว
ทั้งนี้ ม.ล.ปีกทอง ซีอีโอคนใหม่ ได้เคยให้สัมภาษณ์ว่า ปัจจุบันนโยบายและแผนการดำเนินงานของ OR ถูกต้องและดีอยู่แล้ว เพียงแค่เข้าไปต่อยอดจากของเดิมใน 3 เสาหลัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Mobility หรือธุรกิจขายน้ำมัน เรื่อง Lifestyle ธุรกิจคาเฟ่ อเมซอน และร้านค้าในสถานีบริการ และเรื่อง Global Market หรือธุรกิจในต่างประเทศ รวมถึงประสบความสำเร็จแล้วกับคาเฟ่ อเมซอน หน้าที่ต่อไป คือ การออกไปหาโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ เป้าหมายในพื้นที่ใหม่ ๆ ในภูมิภาค แต่อนาคตของ OR จะไปในทิศทางไหน จะสานต่อ ต่อยอด หรือเริ่มธุรกิจใหม่ ๆ หรือไม่ ต้องจับตากันต่อไป