RED ZONE ทะเลอันตราย พื้นที่ทับซ้อนเรือรบเมียนมาไล่ยิงเรือไทย

fishing boat

เหตุการณ์เรือรบเมียนมาระดมยิงกองเรือประมงอวนลากไทย ในคืนวันที่ 30 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ส่งผลให้มีลูกเรือประมงไทยเสียชีวิต 1 คน และบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง และยังมีเรือประมงไทยอีก 1 ลำ คือ เรือ “ส.เจริญชัย 8” พร้อมลูกเรือ 31 คน (ไทย 4-เมียนมา 27 คน) ถูกเรือรบเมียนมาเข้าทำการยึดเรือและลากไปเกาะย่านเชือก ในเขตเมียนมานั้น

ล่าสุดเวลาได้ผ่านมา 2 สัปดาห์ ปรากฏว่าฝ่ายไทยยังไม่ได้ตัวลูกเรือ และเรือ ส.เจริญชัย 8 กลับมาเขตไทยอีกจนมีความกังวลกันว่า ความพยายามทางการทูตของรัฐบาลไทยที่จะให้เมียนมาปล่อยตัวลูกเรือ และเรือไทย “โดยปราศจากเงื่อนไข” ผ่านทางคณะกรรมการชายแดนท้องถิ่นไทย-เมียนมา (TBC) ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยออกข่าวมาโดยตลอดนั้น “แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้” เนื่องจากผู้แทน TBC ฝ่ายเมียนมาได้แจ้งให้กับผู้แทน TBC ไทยถึงขั้นตอนการปล่อยตัวลูกเรือ ส.เจริญชัย 8 แต่เพียงว่า “ต้องรอคำสั่งจากเนย์ปิดอว์เพียงอย่างเดียว”

เหตุเกิด 12 ไมล์ทะเลห่างเกาะพยาม

สมาคมประมงอวนล้อมจับ (ประเทศไทย) ซึ่งเรือ ส.เจริญชัย 8 เป็นสมาชิกอยู่นั้นได้ให้รายละเอียดของเหตุการณ์ในคืนวันที่ 30 พ.ย.ว่า เรือประมงไทยถูกเรือรบเมียนมาทำการใช้อาวุธยิงขณะทำการประมงห่างจากเกาะพยาม 12 ไมล์ทะล โดยการระดมยิงของเรือรบเมียนมาไม่ใช่การยิงเตือน แต่เป็นการระดมยิงหวังผลต่อชีวิตและทรัพย์สิน เนื่องจากตำแหน่งที่เรือส่วนใหญ่ถูกยิงนั้น อยู่บริเวณกระโจมเรือหรือหอบังคับการ การระดมยิงของเรือรบเมียนมาส่งผลให้ลูกเรือ 1 คน ของเรือดวงทวีผล 333 เสียชีวิต และเรือรบเมียนมาได้เข้าทำการจับกุมเรือประมงไทยอีก 1 ลำ คือ เรือ ส.เจริญชัย 8 พร้อมลูกเรืออีก 31 คน ถูกลากไปยังน่านน้ำเมียนมาบริเวณเกาะย่านเชือก

การดำเนินการของรัฐบาลไทยหลังทราบเหตุทางประธาน TBC จ.ระนอง ได้ทำหนังสือถึงประธาน TBC เกาะสอง แจ้งให้ฝ่ายเมียนมาทราบว่า เวลา 00.20 น. เรือดัดแปลงติดอาวุธเมียนมาจำนวน 3 ลำแล่นเข้าหากลุ่มเรือประมงไทยขณะกำลังวางอวนจับปลาในเขตน่านน้ำของประเทศไทย ห่างจากทิศตะวันตกของเกาะพยาม 12 ไมล์ทะเล ประมาณพิกัดละติจูด 09 องศา 45 ลิปดาเหนือ ลองติจูด 98 องศา 17 องศาตะวันออก และมีการใช้อาวุธต่อกลุ่มเรือประมงไทยจนเกิดเหตุมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ และเรือ ส.เจริญชัย 8 ถูกทหารเมียนมาเข้าควบคุมไปไว้ที่เกาะย่านเชือกนั้น

คณะกรรมการชายแดนท้องถิ่นไทย-เมียนมา (TBC) จ.ระนอง ถือว่า เป็นการกระทำที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นการ “ละเมิด” อธิปไตยของฝ่ายไทยอย่างรุนแรง ซึ่งไม่เป็นไปตามข้อตกลงในเรื่องการปฏิบัติในพื้นที่ทับซ้อนของทั้ง 2 ฝ่าย และขอให้ฝ่ายเมียนมาส่งตัวลูกเรือและเรือกลับประเทศไทยต่อไป ประกอบกับทางสำนักงานประมงจังหวัดระนองในนามของศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจังหวัดระนอง (ศรชล.จว.รน.) เองก็ได้ออกประกาศทันทีในวันที่ 30 พ.ย.เพื่อแจ้งเตือนชาวประมงและผู้ประกอบการเรือประมงและเรืออื่น ๆ ให้ “ระมัดระวังในการเดินเรือและทำการประมงบริเวณแนวชายแดนไทย-เมียนมาเพื่อความปลอดภัย”

ส่งผลให้บริเวณทะเลห่างจากเกาะพยาม 12 ไมล์ทะเล ซึ่งเป็น “พื้นที่ทับซ้อน” ที่ไทยเองก็อ้างสิทธิว่า “อยู่ในเขตน่านน้ำไทย” เหมือน ๆ กับที่ฝ่ายเมียนมาเองก็อ้างสิทธินั้นเช่นกัน เพียงแต่ว่า เมียนมาไม่ได้อ้างสิทธิลอย ๆ แต่กลับส่งเรือรบดัดแปลงเข้ามาปฏิบัติการในน่านน้ำดังกล่าว จนพื้นที่ที่ว่านี้ได้กลายเป็นพื้นที่อันตรายที่เรือไทยจะต้องระมัดระวังในการเดินเรือเพื่อความปลอดภัยไปแล้ว

ADVERTISMENT

ปูมหลัง พท.ทับซ้อน

เป็นที่น่าสังเกตว่า ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์เรือรบดัดแปลงเมียนมาไล่ยิงเรือประมงไทยในคืนวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา ยังไม่มีหน่วยงานไทยออกมาให้ความกระจ่างชัด ๆ ว่า “พื้นที่ห่างจากทิศตะวันตกของเกาะพยาม 12 ไมล์ทะเลประมาณพิกัดละติจูด 09 องศา 45 ลิปดาเหนือ ลองจิจูด 98 องศา 17 องศาตะวันออก” ที่กองเรือประมงไทยเข้าไปทำการประมงนั้น อาณาเขตทะเลบริเวณนั้นอยู่ในสถานะใดกันแน่ แต่จากเอกสารปัญหาเขตแดนทางทะเลระหว่างไทย-เมียนมามีข้อสรุป 3 ประการสำคัญก็คือ

1) ประเทศไทยและเมียนมามีอาณาเขตทางทะเลติดต่อกัน เริ่มตั้งแต่น่านน้ำที่อยู่นอกสุดคือ จุดร่วม 3 ประเทศ (ไทย-อินเดีย-เมียนมา) มายังด้านเหนือของหมู่เกาะสุรินทร์ และผ่านขึ้นไปทางเหนือจนถึงบริเวณ เกาะโคม และไปจนถึงปากน้ำกระบุรี คิดเป็นระยะทาง 195 ไมล์ทะเล ปัจจุบันไทย-เมียนมาสามารถเจรจาเส้นเขตแดนทางทะเลจนได้ข้อยุติแล้ว 140 ไมล์ทะเล คือ ตั้งแต่จุดร่วม 3 ประเทศมาจนถึงด้านเหนือของ เกาะสุรินทร์เหนือเท่านั้น ส่วนเขตแดนทางทะเลที่เหลือยังไม่สามารถเจรจาเพื่อทำความตกลงกันได้จนเกิดพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในที่สุด 2) ปัญหาเส้นเขตแดนตั้งแต่เกาะสุรินทร์เหนือ มาจนถึงด้านเหนือของเกาะโคม เป็นระยะทางประมาณ 50 ไมล์ทะเล ยังมีปัญหาการอ้างกรรมสิทธิ์เหนือเกาะ 3 เกาะ ได้แก่ เกาะหลาม (พื้นที่มากสุดประมาณ 150 ตารางกิโลเมตร), เกาะคัน, เกาะขี้นก และเขตแดนส่วนที่เป็นร่องน้ำต่อจาก เกาะหลาม เกาะคัน เกาะขี้นก ไปจนถึงปากน้ำกระบุรี

ADVERTISMENT

และ 3) ปัญหาเขตแดนทางทะเลตั้งแต่เกาะสุรินทร์ด้านเหนือเกาะโคม เกิดจากทั้ง 2 ประเทศไม่มีการประกาศแนวเขตแดนของตนเองอย่างเป็นทางการ กล่าวคือ ทั้งไทยและเมียนมาไม่ได้ประกาศเส้น Claim ของตนเองอย่างชัดเจน ส่งผลให้ทั้ง 2 ประเทศมีแนวปฏิบัติที่แตกต่างกันกล่าวคือ ฝ่ายเมียนมายึดถือแนวเขตแดนตามเส้นที่ปรากฏอยู่ในแผนที่เดินเรืออังกฤษหมายเลข 3052 กับ 216 ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้กับเมียนมา แต่ฝ่ายไทยมีแผนที่เดินเรือบริเวณนี้ 2 หมายเลข ได้แก่ หมายเลข 307 กับ 331 ทั้ง 2 ประเทศไม่มีการประกาศเส้น Claim จึงทำให้เกิดความสับสนและไม่มีความชัดเจนในการทำประมง และการเดินเรือจนกลายเป็นบริเวณอ้างสิทธิทับซ้อนกันอยู่ในขณะนี้

การอ้างกรรมสิทธิ์ 3 เกาะ

นอกจากปัญหาเขตแดนทางทะเลตั้งแต่เกาะสุรินทร์ด้านเหนือขึ้นไปแล้ว ยังเกิดปัญหาการอ้างกรรมสิทธิ์เหนือเกาะหลาม เกาะคัน และเกาะขี้นก โดยการอ้างสิทธิของทั้ง 3 เกาะดังกล่าวเกิดขึ้นมาตั้งแต่การปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอังกฤษ ในช่วงปี 1867-1868 (พ.ศ. 2410-2411) ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิเกาะต่าง ๆ จนเจ้าพระยาศรีสุริยวงษ์ สมุหกลาโหม-เจ้าพระยาภูธราภัย สมุหนายก ฝ่ายสยาม กับ Lt.A.H.Bagge ข้าหลวงปักปันเขตแดนฝ่ายอังกฤษ “ไม่อาจตกลงกันได้”

map

ขณะทำการปักปันสำรวจและในการทำอนุสัญญาสยาม-อังกฤษ 1868 เซอร์จอห์น ลอเรนซ์ ข้าหลวงใหญ่อินเดียได้มีหนังสือมาถามฝ่ายสยามถึงกรรมสิทธิ์ในเกาะ 5 เกาะด้วยการยื่นข้อเสนอให้เกาะช้างกับเกาะพยาม เป็นของสยาม ส่วนเกาะวิกตอเรีย เกาะเซนต์แมททิวกับหมู่เกาะรังนก เป็นของอังกฤษ

ทว่าข้อเสนอในการครองกรรมสิทธิ์เกาะดังกล่าว กลับไม่มีการกล่าวถึง เกาะหลาม เกาะคัน และเกาะขึ้นนก แต่อย่างใด ดังนั้นการกำหนดอาณาเขตทางทะเลในบริเวณนี้จึงยังไม่เกิดขึ้น เพราะต้องอาศัยเกาะ ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐชายฝั่งเป็นฐานในการกำหนด จากการตรวจสอบของฝ่ายไทยในขณะนี้เชื่อว่า เกาะหลาม เกาะคัน เกาะขี้นก จะไม่มีผลกระทบหรือส่งอิทธิพลต่อเส้นเขตแดนทางด้านใต้ตั้งแต่เกาะสุรินทร์เหนือมายังด้านเหนือของเกาะโคม นั้นหมายความว่า อาณาเขตพื้นที่ทับซ้อนที่เกิดขึ้นควรแยกพื้นที่ออกจากกันได้ เนื่องจากการอ้างกรรมสิทธิ์เหนือเกาะทั้ง 3 ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไทยหรือฝ่ายเมียนมา “จำเป็น” ต้องอาศัยหลักฐานทางประวัติศาสตร์เพื่อพิสูจน์ให้อีกฝ่ายหนึ่งยอมรับเสียก่อน

ล่าสุดได้มีข้อเสนอให้มีการเจรจาระดับสูงเพื่อกำหนดเขตทางทะเลระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลเมียนมา ในบริเวณทะเลอันดามันส่วนที่เหลือให้เสร็จสิ้นด้วยการ “ยกเว้น” เขตพื้นที่บริเวณเกาะทั้ง 3 ไว้ก่อนและให้ฝ่ายไทยเสนอเส้นมัธยะ เป็นเส้นแบ่งเขตทางทะเลในบริเวณนั้น โดยในระหว่างที่รอผลการเจรจาเขตแดนทางทะเลให้ใช้เส้นมัธยะ เป็นแนวเส้นปฏิบัติไม่ให้มีการเดินเรือล้ำเข้าไป เว้นแต่จะเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ กฎการเดินเรือสากล หรือเรือที่ได้รับอนุญาตจากทั้ง 2 ประเทศ

การแจ้งเตือนครั้งสุดท้าย

การไม่มีเส้นเขตแดนทางทะเลที่ชัดเจนทำให้ยากต่อการปฏิบัติของกองทัพเรือ ในการคุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ทางทะเลเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับกรณีกองเรือประมงไทยถูกเรือรบดัดแปลงเข้ามาระดมยิงและจับกุมในพื้นที่ที่ไม่มีความชัดเจนว่า เป็นน่านน้ำของประเทศใดหรือพื้นที่ทับซ้อนอ้างสิทธิ ในทางปฏิบัติกองทัพเรือจะยึดถือตามหลักกฎหมายทะเลตามข้อ 15 ของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเลปี 1982 ในกรณีที่รัฐชายฝั่งที่อยู่ตรงข้ามกัน (ไทย-เมียนมา) ยังไม่ได้ทำความตกลงในการกำหนดเขตแดนทางทะเลที่แน่นอน ฝ่ายไทยจึงได้ลากเส้นมัธยะ ในบริเวณพื้นที่ตั้งแต่ด้านเหนือของเกาะสุรินทร์ไปจนถึงบริเวณเกาะหลาม เกาะคัน เกาะขี้นก เพื่อใช้เป็นแนวเส้นเขตปฏิบัติการของเรือในพื้นที่

ซึ่งในกรณีของการจับกุมเรือ ส.เจริญชัย 8 พร้อมลูกเรืออีก 31 คน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาว่า ณ เวลาที่เรือประมงไทยทำการประมงอยู่ในขณะนั้น กองเรือประมงไทยอยู่ ณ บริเวณใด มีการ “ล้ำเส้น” เขตแดนทางทะเลของประเทศไทยออกไปจนถึงพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลหรือไม่

เนื่องจากก่อนที่กองเรืออวนล้อมไทยจะถูกเรือรบดัดแปลงเมียนมาระดมยิงและเข้าทำการจับกุมนั้น ได้มีการแจ้งเตือนด้วยข้อความที่ว่า “เรือไทย…มีเส้นทางเดินเรือเข้าใกล้เขตประเทศเพื่อนบ้าน โปรดเดินเรือด้วยความระมัดระวัง” จากระบบติดตามเรือ (VMS) ที่ถูกควบคุมโดยศูนย์ FMC อยู่แล้ว