
สัมภาษณ์พิเศษ
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษ “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงผลการทำงานในห้วง 100 วัน นับตั้งแต่ได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2567 โดยระบุว่า ได้เดินหน้าทำงานในหลายเรื่อง บางเรื่องสำเร็จแล้ว บางเรื่องอยู่ระหว่างการผลักดัน
สรุปใน 6 เรื่องสำคัญ ได้แก่ การผลักดันการค้าผ่านการเจรจา FTA การผลักดันการส่งออก การดึงเงินลงทุนเข้าประเทศ การฟื้นฟูกระตุ้นเศรษฐกิจ การดูแลราคาสินค้าเกษตร และการแก้ไขปัญหาสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงการปราบปรามนอมินี ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ ทำให้เรื่องที่คาดว่าเกิดขึ้นไม่ได้ มาเป็นเกิดขึ้นได้ เรียกว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เราทำได้

ความสำเร็จ FTA ไทย-เอฟต้า
เรื่องที่สำเร็จและจับต้องได้ก็คือ 1.การทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ไทย-สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Associations : EFTA) ที่ประกอบด้วยสมาชิก 4 ประเทศคือ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ ซึ่งเป็นกรอบการค้าที่ใหญ่มาก ประชาชนของทั้ง 4 ประเทศมีรายได้ต่อหัวสูง และเป็นข้อตกลงสำคัญที่ไทยสามารถทำกับประเทศในยุโรปได้ กระตุ้นให้หลายประเทศสนใจประเทศไทย
“FTA ไทย-เอฟต้า คาดว่าจะมีการลงนามข้อตกลงกันในเดือนมกราคม 2568 ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีและตนจะเดินทางเข้าร่วมการประชุม World Economic Forum (WEF) ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์”
โดยผลจากข้อตกลงดังกล่าว ทำให้ยุโรปสนใจที่จะเดินหน้าเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป (EU) ล่าสุดมีการประชุมไปแล้วรอบที่ 4 อยู่ระหว่างเจรจาข้อตกลงด้านสินค้า และหากได้ข้อสรุปอาจจะเห็น FTA ไทย-อียู ได้ในปี 2568 นี้ ซึ่งเป็นความพยายามของข้าราชการและผมที่ต้องการให้ประเทศไทยสามารถสรุปข้อตกลง FTA ฉบับนี้ให้สำเร็จ ซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะไทยไม่ได้มีการเจรจา FTA มาแล้วกว่า 10 ปี เนื่องจากมีปัญหาภายใน และจากความสำเร็จนี้ทำให้หลายประเทศติดต่อมาขอเจรจา FTA กับไทย เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เกาหลีใต้ แคนาดา ภูฏาน เป็นต้น
“หลายประเทศย้ายฐานไปลงทุนเวียดนาม ซึ่งเวียดนามมีข้อตกลง FTA กับ 56 ประเทศ ขณะที่ไทยมีเพียง 18 ประเทศดังนั้น เราควรที่จะเดินหน้า FTA ให้ได้มาก ไม่เช่นนั้นจะแข่งลำบาก เพราะหากเปรียบเทียบต้นทุนการผลิต ไทยสูงกว่าเวียดนาม เช่น ค่าแรง ค่าไฟฟ้า อีกทั้งยังได้เปรียบเรื่อง FTA รวมแล้วมีต้นทุนถูกกว่าไทยถึง 40% ดังนั้น FTA จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องเร่งเดินหน้า เพื่อเป็นแต้มต่อในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ”

เตรียมข้อเสนอเจรจาสหรัฐ
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ผมจะเดินทางไปสหรัฐอเมริกา เพื่อไปเจรจากรณีที่สหรัฐมีแนวโน้มจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากับประเทศที่สหรัฐขาดดุล โดยก่อนหน้านี้ผมได้พูดคุยหารือกับบริษัทสหรัฐที่ลงทุนในไทย เพื่อทำความเข้าใจและให้บริษัทเหล่านี้ช่วยสื่อสารอีกทาง หากขึ้นภาษีนำเข้าจะส่งผลให้บริษัทที่ลงทุนในไทยผลิตเพื่อส่งไปสหรัฐและทั่วโลกมีต้นทุนเพิ่มขึ้น เบื้องต้นทางบริษัทดังกล่าวพร้อมรับที่จะไปเจรจา นอกจากนี้ ผมอยู่ระหว่างหารือเพื่อเตรียมข้อเสนอแลกเปลี่ยนในการเจรจากับสหรัฐ โดยอาจเปิดทางนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เนื้อวัว เป็นต้น
ส่งออกฟื้นตัวโตเกิน 4%
2.เรื่องการส่งออกที่ดีกว่าที่คาดไว้ โดยการส่งออกปี 2567 โตเกิน 4% สูงกว่าที่คาดไว้เพียง 1-2% เห็นได้จากช่วง 10 เดือนแรกของปีขยายตัวแล้ว 4.9% มองว่าแนวโน้มปี 2568 ก็จะขยายตัวไปในทิศทางที่ดี ซึ่งผมจะประชุมหารือร่วมภาครัฐและเอกชนในการกำหนดทิศทางการส่งออกปีหน้า โดยส่วนตัวผมอยากเห็นการส่งออกของไทยขยายตัวโต 10% ทุกปี
นอกจากนี้ ยังเห็นโอกาสการส่งออกของกลุ่มแผ่นวงจรพิมพ์ (Print Circuit Board หรือ PCB) ในปีหน้า ล่าสุดบริษัทที่ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของไต้หวันเข้ามาลงทุนในไทย อีกทั้งการประกาศลงทุนในกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งมีมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท ดังนั้น ทิศทางการส่งออกในปีหน้าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ จากการเข้ามาลงทุนผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก และเพื่อการเติบโตและขยายการส่งออกนั้น อีกทั้งผมมีแผนจะเดินทางไปญี่ปุ่นกลางเดือนธันวาคมนี้ และได้มีโอกาสพบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (Minister of Economy Trade and Industry : METI) รวมไปถึงนักลงทุนญี่ปุ่น เพื่อดึงดูดการลงทุนเพิ่มเติม
“อุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะดึงดูดญี่ปุ่นเข้ามาลงทุน เช่น อุตสาหกรรมไฮเทคโนโลยี โดยปัจจัยที่จะหนุนการลงทุน คือการดูแลเสถียรภาพค่าเงิน ดูได้จากหากประเทศไหนที่มีค่าเงินอ่อนจะสามารถดึงดูดการลงทุน เห็นได้จากอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ที่มีการเติบโตเมื่อค่าเงินอ่อนค่า ซึ่งคาดหวังว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีการพิจารณาประเด็นนี้ เพราะหากเงินบาทแข็งค่า เราอาจจะสู้ประเทศเหล่านี้ไม่ได้”
ปีทองสินค้าเกษตร-ผลไม้
3.เรื่องสินค้าเกษตร ที่ปีนี้ถือว่าเป็นปีทอง มีมูลค่าสินค้าสูงขึ้นเฉลี่ย 23% เมื่อเทียบจากปีที่ผ่านมา ในทุกประเภท ส่งผลให้มีรายได้เข้าประเทศกว่าแสนล้านบาท ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น
ขณะที่การส่งออกข้าวหอมมะลิมีแนวโน้มดี ส่งออกอเมริกาขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 20% แคนาดาก็ขยายตัว โดยจะส่งเสริมให้ยกระดับข้าวหอมมะลิให้เป็นสินค้าพรีเมี่ยม ขณะที่การดูแลเกษตรกร ล่าสุดรัฐบาลมีโครงการสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ต่อครัวเรือน ส่วนการดูแลผลไม้ กระทรวงพาณิชย์ก็มีแนวทางดูแลสินค้าไม่ให้ราคาตกต่ำ โดยพร้อมที่จะเข้าไปแทรกแซงราคาไม่ให้ตกต่ำ
สกัดสินค้าด้อยคุณภาพ-นอมินี
4.การแก้ไขปัญหาสินค้าด้อยคุณภาพ เราไม่ได้ระบุเจาะจงว่ามาจากประเทศไหน ดูทุกประเทศเท่ากัน โดยจะดูแลให้สินค้านำเข้าได้มาตรฐานตามที่ไทยกำหนด ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เชิญ 16 หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมหารือ ทั้งกรมศุลกากร องค์การอาหารและยา (อย.) สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เพื่อกำหนดแนวทางการกำกับดูแลให้เข้มข้น ส่งผลให้สินค้านำเข้าเหล่านี้มีปริมาณลดลง
5.การติดตามปัญหาเรื่องนอมินี ซึ่งคนต่างชาติมีการเข้ามาทำธุรกิจในกลุ่มที่ดิน ท่องเที่ยว โดยเฉพาะที่ภูเก็ต พัทยา โดยใช้คนไทยเป็นตัวแทนจดทะเบียน (นอมินี) กระทรวงพาณิชย์จะเข้าไปตรวจสอบ เพื่อให้ผู้ประกอบการ นักลงทุนที่เข้ามาดำเนินธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมายของไทย ซึ่งเรื่องนี้มอบหมายให้นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้กำกับดูแลเรื่องนี้
6.โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้รับมอบหมายให้ร่วมดูแล โดยมีการเปิดพื้นที่ขายสินค้าราคาถูก เปิดให้ผู้ประกอบการเข้ามาขายสินค้า และยังได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการรายใหญ่เปิดพื้นที่ให้ พร้อมนำสินค้าราคาถูกขายให้กับประชาชน รวมไปถึงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม เป็นการช่วยเหลือประชาชนในการลดค่าครองชีพ อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกด้วย
ปิ๊งไอเดีย Food Security
ส่วนนโยบายอีกหลายเรื่องที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นนโยบาย Thailand Brand การสร้างแบรนด์สินค้าไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย การขยายตลาดการค้าการส่งออกกับอีกหลายประเทศ เช่น นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และอินเดีย รวมถึงการขยายการทำ FTA กับประเทศอังกฤษ ซึ่งแม้ว่าจะมีข้อตกลงการค้าอยู่แล้ว แต่จะขยายไปสู่ FTA อีกด้วย
นโยบายที่น่าสนใจอีกเรื่องคือ เรื่อง Food Security ความมั่นคงทางด้านอาหาร โดยอยู่ระหว่างการสร้างโมเดล เพื่อทำให้ไทยเป็นประเทศที่สร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับต่างประเทศที่สนใจ โดยจะมีการทำข้อตกลงซื้อขายกันเพื่อส่งสินค้าในช่วงเหตุการณ์ไม่ปกติ มีประเทศแถบตะวันออกกลางสนใจ เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นต้น
“Concept คือ หากมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน เราพร้อมที่จะส่งสินค้าอาหารให้ภายใน 24 ชั่วโมง โดยรัฐบาลจะเป็นผู้ค้ำประกันเพื่อให้ความมั่นใจว่าผู้ซื้อจะได้รับสินค้า ซึ่งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ สงครามที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ ทำให้เราหาช่องทางสร้างโอกาสจากวิกฤตที่เกิดขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นด้วย ซึ่งคาดว่าจะเห็นเป็นรูปธรรมในปี 2568”