รัฐ “ปลดล็อก” ส่งออกข้าว ลดสต๊อก/ค่าธรรมเนียม “ใคร” ผูกขาดตลาดได้ ?

ปลูกข้าว

การแถลงผลการดำเนินงานของรัฐบาลรอบ 3 เดือนและมอบนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรีให้แก่ข้าราชการระดับสูงของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา ในประเด็นหัวข้อ “การผูกขาดทุกชนิด”

จากข้อเท็จจริงที่ว่า “การผูกขาดทุกชนิดเป็นการเพิ่มต้นทุนให้ประชาชนและทำให้พี่น้องประชาชนยากจนลง” โดยรัฐบาลจะเร่งดำเนินการปลดล็อกการผูกขาด โดยเฉพาะเรื่อง “ข้าว” ด้วยการตั้งเป้าให้เกษตรกรทุกคนและผู้ค้าข้าว SMEs สามารถส่งออกข้าวไปทั่วโลกได้เองนั้น แม้จะเป็นแนวนโยบายที่ดี ทว่าในทางปฏิบัติอาจไม่บรรลุเป้าหมาย เนื่องจากการค้าข้าวในปัจจุบันเป็น ตลาดข้าวเป็นของผู้ซื้อ มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงทั้งผู้ส่งออกข้าวในประเทศด้วยกันเอง และประเทศผู้ส่งออกข้าวอื่น ๆ

ข้าวยังต้องขออนุญาตส่งออก

การส่งออกข้าวใน 4 พิกัดศุลกากร 1006.10 1006.20 1006.30 และ 1006.40 ปัจจุบันยังอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ที่ว่า “ข้าว” ยังเป็นสินค้าที่ต้อง “ขออนุญาตส่งออก” ทั้งการส่งออกข้าวทั่วไป และการส่งออกข้าวภายใต้โควตาของสหภาพยุโรป นั้นหมายความว่า กฎเกณฑ์ในการส่งออกข้าวที่รัฐบาลในอดีตตั้งขึ้นมานั้น มีวัตถุประสงค์ในการ “ควบคุม” เพื่อป้องกันการขาดแคลนและจัดระเบียบการส่งออกข้าว พร้อม ๆ กับการปฏิบัติตามความตกลงไทย-สหภาพยุโรปเพื่อระงับข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการขยายสมาชิกภาพตามมาตรา 24(6) ด้วยการชดเชยความเสียหายและผลจากการใช้ Reference Price เฉพาะกรณีการส่งออกข้าวภายใต้โควตาของสหภาพยุโรป

ส่งผลให้ “ข้าว” กลายเป็นสินค้าควบคุมที่ต้องขออนุญาตส่งออก มีระเบียบกฎหมาย วิธีปฏิบัติมากมายหลายหน่วยงาน เริ่มตั้งแต่ การขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออก การขออนุญาตส่งออก และค่าธรรมเนียมในการส่งออก ซึ่งผู้ที่ประสงค์จะเป็นผู้ส่งออกข้าวจะต้องปฏิบัติตามระเบียบขั้นตอนนี้ทุกคน (รายละเอียดตามตารางประกอบ)

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการแถลงผลการดำเนินงานของรัฐบาลเฉพาะในส่วนของ การ “ปลดล็อกการผูกขาดข้าว” นั้น นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า จากแนวนโยบายเพื่อลดการผูกขาดในการส่งออกข้าวของรัฐบาล กรมการค้าภายในจะเรียกประชุมคณะกรรมการปฏิบัติการตาม พ.ร.บ.การค้าข้าว ปี 2489 มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการค้าข้าวในประเทศให้ส่งออกข้าวไปต่างประเทศได้ โดยแนวทางการส่งเสริมก็คือ จะ “ลด” การสต๊อกข้าว หรือลดการมีข้าวสารเป็นกรรมสิทธิ์ไม่น้อยกว่า 500 ตัน ซึ่งเป็น 1 ในเงื่อนไขของการขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออกข้าวลง โดยสต๊อกข้าวสารที่จะต้องเป็นกรรมสิทธิ์อาจลดลงมาเหลืออยู่ที่ 100 ตัน

นอกจากนี้ คณะกรรมการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.การค้าข้าว ยังจะพิจารณาลด “ค่าธรรมเนียม” ในการยื่นคำขออนุญาตเป็นผู้ประกอบการค้าข้าวของ สำนักส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตร กรมการค้าภายใน หรือสำนักงานการค้าภายในจังหวัด ลงจาก 50,000 บาท ลงมาเหลือ 20,000-30,000 บาท ซึ่งอาจจะต้องพิจารณาเงื่อนไขอื่น ๆ เข้ามาประกอบ แต่ถือเป็นการลดขั้นตอนการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบการค้าข้าว เพื่อ “เปิดโอกาส” ให้กับผู้ส่งออกรายเล็ก หรือผู้สนใจที่จะทำการส่งออกข้าว

ADVERTISMENT

ด้านระเบียบกฎเกณฑ์ในการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออกข้าวของ กรมการค้าต่างประเทศ นั้น จะอยู่ใน 2 ส่วน คือ การขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออกข้าว กับ การออกใบอนุญาตส่งออกข้าว ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้ปัจจุบัน ไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม อยู่แล้ว โดยในส่วนของการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ส่งออกข้าวของกรมการค้าต่างประเทศ ที่จะรับขึ้นทะเบียนผู้ส่งออกข้าวภายใน 3 วันนั้น “มีเป้าหมายที่จะเร่งดำเนินการขึ้นทะเบียนให้เร็วขึ้น รวมไปถึงการออกใบอนุญาตส่งออกข้าวด้วย”ขั้นตอนส่งออกข้าว

ชาวนาไม่มีทุนส่งออกข้าว

“ประชาชาติธุรกิจ” ได้สอบถามไปยังผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการส่งออกข้าวปัจจุบัน นายรังสรรค์ สบายเมือง นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย ให้ความเห็นว่า เป็นเรื่องที่ดี โดยเฉพาะการลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบการค้าข้าว รวมไปถึง การลดสต๊อกข้าว 500 ตันลงมา แต่ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็มีช่องทางและลดเงื่อนไขให้กับผู้ส่งออกข้าวรายเล็ก (ที่เป็นเป้าหมายของรัฐบาล) อยู่แล้ว ประกอบกับปัจจุบันก็มีโรงสีข้าวหลายรายหันไปเป็นผู้ส่งออกข้าวกันมากขึ้น

ADVERTISMENT

ขณะที่ นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย กล่าวว่า สำหรับในส่วนของชาวนาแล้วจะให้ไปเป็นผู้ส่งออกข้าว “เราคงทำไม่ได้” เพราะการส่งออกมีเรื่องของต้นทุนในการดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เก็บสต๊อกข้าว การปรับปรุงคุณภาพข้าวส่งออกให้กับผู้ซื้อ ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมาก ดังนั้นถ้ารัฐบาลอยากให้ชาวนาเป็นผู้ส่งออกข้าวก็ต้องรับลงทุนให้ชาวนา ชาวนาก็มีความสนใจที่จะทำการส่งออกข้าวเพราะ สามารถกำหนดราคาข้าวส่งออกได้เอง

ดังนั้น นโยบายนี้จะมีโอกาสที่จะเป็นไปได้จริงใน กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และรัฐวิสาหกิจที่พอจะมีเงินลงทุนในกระบวนการส่งออกข้าวทั้งหมด

สงสัยใครผูกขาดข้าว

ด้าน นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า การปรับลดค่าธรรมเนียมในการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบการค้าข้าว การลดขั้นตอนการขออนุญาต และการลดปริมาณสต๊อกข้าวลงจากเดิม 500 ตัน เป็นเรื่องที่ผู้ส่งออกข้าวเห็นด้วยอยู่แล้ว ส่วนตัวมองว่า เป็นการเปิดโอกาสให้ SMEs และชาวนามีโอกาสส่งออกข้าวสู่ตลาด และยังเป็นการลดต้นทุนของผู้ส่งออกข้าวในปัจจุบันอีกด้วย

“การปรับลดสต๊อกข้าวเป็นเรื่องดี จากเดิมที่มีกฎระเบียบนี้มาตั้งแต่ปี 2489 ซึ่งตอนนั้นทั้งประเทศมีผลผลิตข้าวประมาณ 10 ล้านตันข้าวสาร ทำให้รัฐบาลตอนนั้นต้องกำหนดระเบียบนี้ขึ้นเพื่อความมั่นคงทางด้านอาหารของประเทศ แต่ปัจจุบันเรามีผลผลิตข้าวเฉลี่ยปีละ 33-34 ล้านตันข้าวเปลือก หรือ 20 ล้านตันข้าวสาร บริโภคภายในเฉลี่ยปีละ 10-11 ล้านตัน ส่งออกข้าวปีละ 8-9 ล้านตัน การปรับลดสต๊อกลงมาจึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ถึงจะกำหนดไว้ที่ 500 ตัน ก็ถือว่าเป็นปริมาณข้าวในสต๊อกที่ไม่ได้มากมายอะไรสำหรับผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่-รายกลาง แต่การปรับลดสต๊อกลงมาจะช่วยผู้ส่งออกข้าวรายเล็กที่ต้องการส่งออกข้าว 1-2 ตู้คอนเทนเนอร์ได้” นายชูเกียรติกล่าว

สำหรับในส่วนของชาวนาที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะเปิดโอกาสให้ชาวนาเป็นผู้ส่งออกข้าวนั้น “ก็อาจจะต้องมีขั้นตอนต่าง ๆ อีกเยอะ” การลดค่าธรรมเนียมเป็นผู้ประกอบการค้าข้าวเหลือ 20,000 บาทนั้น “เป็นเรื่องที่เราเสนอให้ลดค่าธรรมเนียมมาตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่มีการดำเนินการ เมื่อรัฐบาลเข้ามาลดค่าธรรมเนียมตรงนี้จึงเป็นสิ่งที่ดีมาก”

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สมาคมกังวลและสงสัยในแนวนโยบายนี้ก็คือ รัฐบาลต้องการให้มีการ “สลาย” การผูกขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินค้าข้าว นายชูเกียรติกล่าวว่า การทำตลาดข้าวที่ผ่านมา “ตลาดเป็นของผู้ซื้อ” มีการแข่งขันรุนแรงเพราะ การค้าข้าวไม่ใช่การทำสัมปทานที่ได้รับการผูกขาดจากหน่วยงานของรัฐ โดยปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ส่งออกข้าวในตลาดมากกว่า 100 ราย ผู้ประกอบการโรงสีข้าวมีมากกว่า 1,000 ราย บางส่วนก็หันมาเป็นผู้ส่งออกข้าวด้วย

“ผมอยากจะบอกว่า ตลาดข้าวไม่มีการผูกขาด ไม่รู้ว่าข้อมูลที่ (รัฐบาล) ได้มานั้น รับรู้มาจากไหน การแข่งขันในการส่งออกข้าวตอนนี้เป็นการแข่งกันแบบเอาเป็นเอาตาย เราต้องแข่งกับเวียดนาม-อินเดียที่กำลังกลับมาส่งออกข้าวอีกครั้ง ดังนั้น ตลาดข้าวจึงถือว่าเป็น ตลาดที่มีการแข่งขันสมบูรณ์แบบ และการจะทำการส่งออกข้าวได้ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ใคร ๆ ก็เป็นผู้ส่งออกข้าวได้ ก็แค่คุณไปขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบการค้าข้าวก็ดำเนินการทำได้อยู่แล้ว”

ดังนั้น หากใครไม่ได้อยู่ในวงการค้าข้าวก็อาจจะไม่รู้ หรือสงสัยในข้อที่ว่า มีการผูกขาดข้าวจนต้องมีการปลดล็อก ปัจจุบันผู้ซื้อมีสิทธิที่จะเลือกซื้อข้าวกับใครก็ได้ ตอนนี้ผลผลิตข้าวดี ทั้งข้าวจากประเทศไทย-เวียดนาม-กัมพูชา-เมียนมา-อินเดีย ดังนั้น ผู้ซื้อก็ต้องคาดการณ์แล้วว่า การแข่งขันก็จะสูงขึ้น ราคาข้าวจึงมีแนวโน้มที่จะลดลง ซึ่งการส่งออกข้าวของไทยในปี 2568 เบื้องต้นคาดการณ์ว่า จะลดลงจากปี 2567 ปริมาณ 2 ล้านตัน ซึ่งปีนี้ทั้งปีคาดการณ์ส่งออกข้าวอยู่ที่ 9.5-9.7 ล้านตัน