
“สอ.การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย” เผยประกาศกฎกระทรวงและร่างประกาศ คพช.ที่เกี่ยวข้องกับการฝากเงินและการลงทุนของสหกรณ์ ส่งผลกระทบสหกรณ์ทั้งระบบ ทำลายคนเกษียณทางอ้อม ชี้ ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์แห่งประเทศไทย เตรียมยื่นหนังสือร้องศาลปกครอง คณะกรรมการพิจารณาอุทรธ์ ขอคุ้มครองชั่วคราว
นายชาติชาย โรจนรัตนางกูร ประธานกรรมการดำเนินการ สอ.การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จำกัดเปิดเผยระหว่างงานสัมมนาวิชาการประจำปี 2567 เรื่อง “ชำแหละกฎกระทรวงและร่างประกาศ คพช.ที่เกี่ยวข้องกับการฝากเงินและการลงทุนของสหกรณ์” ของสหกรณ์ออมทรัพย์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จำกัด เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา
ว่าการประกาศกฎกระทรวงการฝากเงินและการลงทุนของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน พ.ศ. 2567 ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2567 ให้มีผลบังคับใช้ และมีร่างประกาศคณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติ (คพช.) เรื่องข้อกำหนดการฝากหรือลงทุนอย่างอื่นของสหกรณ์นั้น จะส่งผลกระทบต่อสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ทั่วประเทศ
ดังนั้น ภายในสัปดาห์หน้าตัวแทนจากชุมนุมสหกรออมทรัพย์แห่งประเทศไทย จำกัด จะเป็นตัวแทนเข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทรธ์ เพื่อขอให้มีการคุ้มครองชั่วคราว ไม่ให้มีผลบังคับใช้เป้าหมายนั้น ต้องการให้มีการยกเลิกกฎหมายดังกล่าว เพราะไม่สอดคล้องกับความต้องการของสมาชิกที่ต้องการออมและลงทุนได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า ซึ่งการเดินหน้าก็จะควบคู่ไปกับยื่นหนังต่อศาลปกครองด้วย เพื่อให้ยกเลิกประกาศ เพราะ คพช. ผิดรัฐธรรมนูญเรื่องของการผูกขาดในการคัดเลือกคนมาทำงานและไม่ควรกำหนดเจ้าใดเจ้าหนึ่ง ถือเป็นการล็อกสเป็กผู้จัดการกองทุน
ทั้งนี้ จากการจัดงานสัมมนาที่จัดขึ้น เพื่อต้องการให้สมาชิกเล็งเห็นว่า ประกาศกฎกระทรวง และร่างประกาศ คพช. นั้น ไม่ได้ส่งเสริมการออม โดยสาระสำคัญในกฎกระทรวงกำหนดว่า ให้การลงทุนในนิติบุคคลแต่ละแห่งได้ไม่เกิน 10% เมื่อนำมารวมกันแล้วต้องไม่เกินทุนเรือนหุ้นรวมกับทุนสำรองของสหกรณ์ รวมทั้งต้องได้รับความเห็นชอบแผนและวงเงินการลงทุนจากที่ประชุมใหญ่ของสหกรณ์
สำหรับร่างประกาศ คพช. เรื่อง ข้อกำหนดการฝากหรือลงทุนอย่างอื่นของสหกรณ์ ฉบับที่กำลังทำประชาพิจารณ์ จะถูกกำหนดสัดส่วนการลงทุน ส่งผลให้สหกรณ์ต่าง ๆ ไม่สามารถบริหารจัดการการลงทุน รวมถึงต้องดำเนินการแก้ไขพอร์ตการลงทุนทั้งหมด
ทั้งนี้ สหกรณ์ต้องการให้หน่วยงานกำกับดูแลเล็งเห็นถึงผลกระทบที่มีกับสมาชิกเป็นหลัก โดยเฉพาะกลุ่มรัฐวิสาหกิจ เมื่อสมาชิกเกษียณอายุการทํางานจะนําเงินก้อนสุดท้ายที่ได้รับจากหน่วยงานมาฝากไว้กับสหกรณ์ เพื่อสร้างผลตอบแทนรายเดือน ส่งผลให้สหกรณ์กลุ่มรัฐวิสาหกิจมีเงินคงเหลือ โดยสหกรณ์นำเงินในส่วนนี้ไปลงทุน เพื่อให้เกิดรายได้และนำไปจัดสรรให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับสมาชิกต่อไป
หากสหกรณ์ลงทุนตามข้อกำหนดใน ร่างประกาศ คพช. สหกรณ์จำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก รวมถึงเงินปันผลของสมาชิก ในส่วนนี้ก็จะกระทบโดยตรงกับสมาชิกทันที เนื่องจากรายรับของสมาชิกลดลง ยากต่อการบริหารจัดการเงินในการดำรงชีพ และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในที่สุด
“เจตนาหลักของสหกรณ์ คือ การออมทรัพย์เพื่อหวังเงินปันผลระยะยาว ซึ่ง คพช.เคยกลับมาดูหรือไม่ว่าสหกรณ์ทำอะไรอยู่ การบริหารความเสี่ยงที่กำหนดกฏเกณฑ์ตายตัวและการบังคับให้ลงทุนแค่ 10% ในตัวเดียวก็ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง”
อย่างไรก็ดี รัฐบาลควรให้ทางเลือกกับสหกรณ์ ไม่ใช่ให้โอนเงินกว่า 9 แสนล้านบาทเข้ากองทุน สหกรณ์จะขาดทุนทันที ปันผลก็ไม่ได้ ดังนั้น จึงฝากถามภาครัฐว่าจะควบคุมหรือส่งเสริม เพราะร่าง คพช.ที่ออกมากระทบสหกรณ์ทั้งระบบ ทำลายคนเกษียณทางอ้อมที่เงินเดือนไม่มี หากพึ่งสหกรณ์ไม่ได้แล้วจะพึ่งใคร