
อธิการบดี มรภ.นครราชสีมา โชว์วิชั่น ‘มูนมัง’ ที่สำคัญคือ ‘คน’ ชี้ถึงเวลาดึงอินฟลูฯ ลิซ่า-บัวขาว ดัน ศก.อีสาน อย่าลืม ‘แร่โพแทช’ 2 แห่ง รอขุด
ที่หอประชุมราชภัฏรังสฤษฏ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศงานสัมมนา ISAN NEXT : พลิกเศรษฐกิจไทย ฝ่าวิกฤตโลก ซี่งจัดโดยมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ร่วมกับ ‘เครือมติชน’ โดยเมื่อเวลาประมาณ 08.00 น. บุคคลต่าง ๆ ทยอยเดินทางมาเข้าร่วมอย่างคึกคัก โดยลงทะเบียน ณ จุดลงทะเบียนบริเวณทางเข้าหอประชุม รวมถึงเต็นท์หน้าทางขึ้นสู่หอประชุม พร้อมรับหนังสือ ‘โคราชของเรา’ ผลงาน สุจิตต์ วงษ์เทศ บรรณาธิการบริหาร และขรรค์ชัย บุนปาน บรรณาธิการอำนวยการ ภายใต้โครงการแบ่งปันความรู้ เชิดชูศาสนา พัฒนาแหล่งน้ำลำคลองของเครือมติชน
ในการนี้ผู้บริหารในเครือมติชนให้การต้อนรับ นำโดย นางสาวปานบัว บุนปาน ประธานกรรมการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน), นายปราปต์ บุนปาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน), นายนฤตย์ เสกธีระ บรรณาธิการ กองบรรณาธิการมติชน, นายสุพัด ทีปะลา บรรณาธิการบริหาร กองบรรณาธิการมติชน, นายสมปรารถนา คล้ายวิเชียร รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายเทคโนโลยี บมจ.มติชน และนายจำลอง ดอกปิก ที่ปรึกษากองบรรณาธิการมติชน
โดยเมื่อเวลา 09.45 น. เข้าสู่ช่วง Section 2 หัวข้อ “มูนมังอีสาน พลิกวิกฤตเศรษฐกิจไทย” โดย รศ.ดร.อดิศร เนาวนนท์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) นครราชสีมา โดยเริ่มต้นด้วยภาษาอีสานว่า ” ไผว่าเมืองอีสานฮ้าง สิจูงแขนเพิ่นไปเบิ่ง วัฒนธรรมยังโจ้โก้ มันสิฮ้างบ่อนจั่งได้ พี่น้องเอ้ย”
จากนั้น รศ.ดร.อดิศรกล่าวว่า ทรัพย์ในดินถิ่นอีสาน ภาษาอีสานคือ ‘มูนมัง’ นั่นคือทรัพย์สินมรดกที่รับได้ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ เพราะฉะนั้นมูนมังจึงมิได้หมายถึงวัฒนธรรมเท่านั้น แต่หมายถึงทรัพย์สินที่คนอีสานและภาคอีสานทั้งหมดมี จากที่นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมาได้กล่าวนำ ถึงภาคอีสานที่สำคัญที่สุด นั่นคือเรื่อง ‘อารยธรรมมูนมัง’ และเราจะนำไปต่อยอดด้านเศรษฐกิจได้อย่างไร
รศ.ดร.อดิศรกล่าวว่า เรามีประชากร 21,696,212 คน ซึ่งพื้นที่ประชากรเป็น 1 ใน 3 ประเทศ เชื่อว่าถ้าพลิกอีสานได้ก็จะพลิกประเทศไทยได้เช่นเดียวกัน
“เราอยากพูดถึง GDP เมื่อพูดถึง ‘โคราชบ้านเอง’ ตัวเลข GDP ก็สูงที่สุดในภาคอีสาน มูลค่ากว่า 294,604 ล้านบาท ด้านขอนแก่นและอุบลราชธานี มีมูลค่า 100 กว่าล้านบาท มันเกิดอะไรขึ้น ? ดีใจได้ แต่อย่าลืมว่าโคราชเป็นเมืองโรงงานอุตสาหกรรม ตัวเลขก็เลยสูง” รศ.ดร.อดิศรชี้
รศ.ดร.อดิศรอธิบายต่อว่า อีสานเรามีรายได้ตัวเลขเฉลี่ยค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับตัวรายได้ของประเทศไทย กลับเข้ามาที่เมืองโคราช เรามีมูนมังที่เป็นทรัพย์สินอยู่ในพื้นที่มหาศาล เรามี 3 มงกุฎ 1 เขาใหญ่ เป็นมรดกโลก นอกจากนี้ ยังมีมรดกโลกอีก 2 แห่งคือ แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง และอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท อุดรธานี ตรงนี้จะเป็นจุดที่ยกระดับรายได้พี่น้องประชาชนชาวอีสานได้
และเรามีพื้นที่ Sakaerat Biosphere Reserve (พื้นที่สงวนชีวมณฑลสะแกราช) ตรงทางขึ้นวังน้ำเขียว นครราชสีมา ซึ่งไม่ใช่มรดกโลก แต่ได้รับการรับรองจากองค์กรยูเนสโก และองค์กรในนครราชสีมา มภร.นครราชสีมาและภาคประชาสังคมทั้งหลายร่วมกันผลักดันจนทำให้โคราชได้รับรองเป็นเมือง ‘โคราชจีโอพาร์ค (KHORAT Geopark)’
“ความสำคัญของโคราชจีโอพาร์ค (KHORAT Geopark) นั้นคือโคราชมีช้างดึกดำบรรพ์ 10 สกุล เราจะนำประโยชน์ไปสร้างรายได้ให้กับภาคอีสานอย่างไรได้บ้าง และโคราชมีฟอสซิล ซากไม้ต่าง ๆ เยอะที่สุด มีหิน ซากพืช ซากสัตว์ ที่มีอายุเป็นล้าน ๆ ปี ไดโนเสาร์เต็มพื้นที่โคราชและภาคอีสานมาก ล่าสุดเราก็พบซากไดโนเสาร์ขนาดใหญ่ หุบเขามัญจาคีรี ขอนแก่น นี้คือการฉายภาพ ทรัพย์สิน มูนมัง ที่ธรรมชาติได้ให้ภาคอีสานมา
ทั้งหมดนี้เราสามารถนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มให้ชาวอีสานได้ และต้องการยกระดับเศรษฐกิจภาคอีสานให้ได้อย่างไร ?” รศ.ดร.อดิศรเผย
รศ.ดร.อดิศรกล่าวถึงมูนมังว่า เป็นทรัพย์สินของภาคอีสานที่มีจำนวนมาก ทั้งหินสามวาฬ (ภูสิงห์ บึงกาฬ) ภูกระดึง เลย สามพันโบก อุบลราชธานี มีจุดท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวให้ความสำคัญมาก เป็นทรัพย์ในดินถิ่นอีสานที่มีอยู่แล้วโดยกำเนิดนั่นเอง
“สิ่งหนึ่งที่ผมอยากเน้นเรื่องที่เป็นเซนซิทีฟ ภาคอีสานเรามีแร่ชนิดหนึ่งชื่อว่า ‘แร่โพแทช’ รู้หรือไม่ ประเทศทางตะวันออกกลางเขาพัฒนาตัวเองได้อย่างเร็ว เพราะเขามีน้ำมัน
ตอนนี้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมออกมาเปิดเผยว่า เราพบแร่โพแทชอยู่ใต้ดินภาคอีสานใน 2 แห่งคือ แอ่งโคราช แอ่งสกลนคร ทั้งหมดมูลค่าแร่ 161 ล้านล้านบาท ประเทศที่ผลิตโพแทชมากที่สุดในโลกคือ แคนาดา เบลารุส เยอรมนี จีน เรานำเข้าปุ๋ยปีหนึ่งเป็นหมื่นล้านบาท” รศ.ดร.อดิศรกล่าว
รศ.ดร.อดิศรกล่าวต่อไปว่า ปัญหาของสิ่งที่มีอยู่ใต้ดินของเรานั้นจะนำขึ้นมาใช้อย่างไร เพื่อไม่ให้กระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้มีการกระจายรายได้ให้กับพี่น้องประชาชน ไม่ใช่ให้กับนายทุนอย่างเดียว เรื่องนี้คือเรื่องท้าทายมาก
น้ำมันในตะวันออกกลางอยู่ใต้ทะเลทรายเอาขึ้นมาไม่ค่อยกระทบใคร แต่โพแทชอยู่ใต้ทุ่งนา ใต้หมู่บ้านของพี่น้องประชาชน นี่คือโจทย์สำคัญที่ทางรัฐบาลหรือพวกเราต้องช่วยกันคิดว่าจะนำทรัพย์สินที่อยู่ใต้ผืนดินอีสานซึ่งมีมหาศาล ตัวเลขจากกระทรวงทรัพย์ เราอาจจะอยู่อันดับ 4 ของโลกที่มีโพแทชอยู่มหาศาล
“ตรงนี้เป็นโจทย์ใหญ่ถ้าจะพลิกผืนดินอีสานจะทำเรื่องนี้อย่างไรไม่ให้กระทบสิ่งแวดล้อม มีกระบวนการบริหารจัดการให้พี่น้องประชาชนได้รับผลประโยชน์ถ้วนหน้า ไม่ใช่ได้แต่นายทุน นี้คือโจทย์ที่อยากจะฝากทิ้งไว้” รศ.ดร.อดิศรกล่าว
รศ.ดร.อดิศรกล่าวต่อว่า นอกจากทรัพย์สินและมูนมังที่มีอยู่ในธรรมชาติ เรายังมีมูนมังที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่รัฐบาลหลายยุคหลายสมัยทำให้ สิ่งหนึ่งที่มนุษย์สร้างมูนมังขึ้นในยุคเก่า นั้นคือปราสาทหินพิมาย นครราชสีมา ปราสาทพนมรุ้ง บุรีรัมย์ เราจะต้องนำไปใช้ต่อยอดเรื่องการท่องเที่ยวเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างไร ?
นอกจากนี้ ยังมีมูนมังที่เป็น ‘ซอฟต์พาวเวอร์ประเพณี’ ภาคอีสาน นั้นคือ ประเพณีบุญบั้งไฟ ผีตาโขน หมอลำที่มีทั้งภาคอีสาน เราจะต่อยอดมูนมังด้านประเพณีภาคอีสานได้อย่างไร เป็นโจทย์ที่เรามาคิดร่วมกัน
“ตัวตนคนอีสานมีคำพูดที่ว่า ‘คนอีสานเป็นกำลังสำคัญด้านแรงงาน’ แต่อย่ามองเรื่องแรงงานอย่างเดียว ยังมีอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) อย่าง ลิซ่า ลลิษา มโนบาล ซูเปอร์สตาร์สาว เป็นคนบุรีรัมย์ และบัวขาว บัญชาเมฆ นักมวยไทยชาวสุรินทร์ ถ้าจะขายซอฟต์พาวเวอร์ผ่าน 2 ท่านนี้ได้จะดีสุด ๆ
โดยธรรมชาติของคนอีสานเรามันคนมักม่วน ใจสู้ ไม่ลืมรากเหง้า นี้คือลักษณะตัวตนคนอีสาน โกรธง่ายหายไว สิ่งเหล่านี้คือทรัพย์สินที่มีอยู่ในตัวตนคนอีสาน เช่นเดียวกันเราจะนำสิ่งเหล่านี้เพื่อให้เกิดประโยชน์และสร้างมูลค่าเพิ่ม เพิ่มจุดแข็งได้อย่างไร” รศ.ดร.อดิศรกล่าว
รศ.ดร.อดิศรกล่าวว่า มูนมังอารยธรรมสามารถนำไปใช้การยกระดับคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจให้กับคนอีสาน ต้องนึกถึงเรื่องรายได้ด้วย แต่เราต้องดูเรื่องรายจ่ายประกอบ คนอีสานมีรายได้เฉลี่ยในปี 2556-2566 การทำงานอยู่ระหว่าง 12,754-13,280 บาท รายจ่ายเฉลี่ย 15,092-18,676 บาท แล้วถ้าเป็นแบบนี้เราจะทำอย่างไร ?
“นี่คือโจทย์สำคัญ ถ้าเราจะยกระดับภาคอีสานได้ เราต้องทำให้คนอีสานมีรายได้ให้สูงขึ้น”
อีกทั้งหนี้สินครัวเรือนของคนอีสานสูงกว่าทุกภูมิภาค เราใช้เงินที่เป็นหนี้คือ ภาคการเกษตร ทุกวันนี้เกี่ยวข้าวก็ต้องใช้รถไถ ดำนาก็ต้องจ่ายค่าแรงคน พูดง่าย ๆ ทำนาก็ขาดทุน ทำเกษตรก็ขาดทุน สภาพความเป็นจริงเป็นเช่นนั้น และหนี้อุปโภคบริโภค 43% เช่าบ้าน 21% และทำธุรกิจ 7.7% เราจะเห็นได้ว่าโจทย์ที่สำคัญที่สุดทำอย่างไรจะลดหนี้ได้ และทำได้เราจะมีรายได้สูงขึ้น
ผมขอสรุปถ้าเราจะใช้มูนมังมาใช้เพื่อยกระดับเศรษฐกิจภาคอีสาน
1.เรื่องเร่งรัดการจัดตั้งระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ NeEC เรื่องนี้เราอยู่ในสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว รัฐบาลเห็นชอบในหลักการเรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้เราพุ่งเป้าไปที่ BCG เน้นอุตสาหกรรมทางชีวภาพ ตอนนี้กลยุทธ์ในการขับเคลื่อนชัดเจนหรือยัง ต้องฝากเรื่องเช่นนี้กับรัฐบาล ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับโลกร้อน เพราะ BCG ตอบโจทย์เรื่อง Climate Change เรื่องพื้นฐานคนภาคอีสาน ซึ่งมีอ้อย มัน ข้าว สิ่งเหล่านี้จะเป็นเรื่องขยายผลในการมี know How สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อผลักดันให้รัฐบาลผลักดันภาคอีสานเป็นเมืองหลวงด้าน BCG ของภูมิภาคอาเซียน อยากให้รัฐบาลเอาจริงเอาจังเห็นชอบเรื่องเช่นนี้
2.พัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพตามแนว BCG Economy Model ภาคอีสานมีพื้นฐานภาคเกษตร นำไปพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนว BCG อยากจะฝากไปยังรัฐบาลเช่นเดียวกัน จะสามารถมีแผนงานและการลงทุนเป็นรูปธรรมได้อย่างไร
3.ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เชิงประวัติศาสตร์ เชิงสุขภาพ ที่ประเทศไทยเราเดินต่อได้ เพราะภาคการท่องเที่ยว แต่ถ้าคนยุโรปมาประเทศไทยส่วนใหญ่ไปทะเล มาอีสานกัน 5% คือเขาใหญ่ และจังหวัดอื่นล่ะ ?
นี้คือโจทย์สำคัญเราต้องขายภาคอีสานและขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรม เราต้องส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพไปด้วย เราต้องขายอย่างไร ยกตัวอย่างอินฟลูเอนเซอร์ ลิซ่า เมื่อไปเดินที่แหล่งพื้นที่ประวัติศาสตร์อยุธยา พร้อมสวมเสื้อตามประเพณี ไม่นานคนเดินตามเต็มเลย ถ้าเรามีเสื้อที่เป็นเอกลักษณ์อีสานให้อินฟลูเอนเซอร์ใส่ ก็เชื่อว่าคนจะใส่กันตามกันเลย
“ฝากกันไปฝากกันมา ถึงเวลาที่ต้องให้อินฟลูเอนเซอร์ดัง ๆ มาช่วยเรื่องวัฒนธรรม เรื่องการท่องเที่ยวภาคอีสาน ไม่งั้นเขาก็ไม่มา การฉายภาพเหล่านี้ การสร้างสื่อที่ออกไปทั่วโลก เป็นปัจจัยที่ดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศและป่าอีสานเราจะขายอย่างไร
และนักท่องเที่ยวด้านสุขภาพธรรมชาติก็มี เราต้องศึกษาความต้องการเขาด้วย เราต้องดูกลุ่มเป้าหมายว่าเขาต้องการอะไรด้วย” รศ.ดร.อดิศรกล่าว
และ 4.พัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ คลิปวิดีโอหมอลำ เสียงพินอีสาน คือเสน่ห์ของคนอีสาน เป็นสิ่งที่ดึงดูดคนเข้ามาในประเทศได้ ยกตัวอย่าง ผีตาโขน เลย มีลักษณะเป็นหน้ากากผีตามประเพณี นักท่องเที่ยวต่างชาติสนใจเยอะ เราต้องต่อยอดผลิตภัณฑ์ หรือกางเกงแมวชาวโคราช สิ่งเหล่านี้คือเรื่องเศรษฐกิจที่สร้างสรรค์ นำสิ่งที่มีอยู่ของภาคอีสานมาขายเป็นสินค้าภาคอีสาน เพื่อสร้างรายได้ ซึ่งมันมหาศาล
“ฝากรัฐบาลจะบริหารเรื่องนี้เพื่อเกิดรายได้แก่ประชาชนอย่างไร เพื่อให้กระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ผมว่าสิ่งที่เป็นจุดพลิกประเทศไทย และภาคอีสานได้คือ เรื่องเหล่านี้ฝากไปคิดกันให้ดี
ข้อความที่อยากจะฝากสุดท้ายคือ มูนมังที่เป็นซอฟต์พาวเวอร์ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรม เราพูดกันทั้งหมด มูนมังที่สำคัญที่สุดคือ ‘คน’
ถ้าคนยังไม่มีคุณภาพ ชีวิตที่ดีก็จะจบ มีทรัพย์สินก็ไปใช้สุรุ่ยสุร่าย เรื่องคุณภาพชีวิตคนเป็นเรื่องที่สำคัญมาก อัตราการเกิดของเด็กในประเทศไทยเราต่ำมาก เราอยู่ในยุคสังคมผู้สูงอายุ คนที่มีความพร้อมในการเลี้ยงลูกก็ไม่แต่งงานและไม่มีครอบครัว แต่เด็กที่เกิดมาใหม่ก็ไม่พร้อมมีครอบครัว เราต้องช่วยกันไม่ใช่แค่ภาคการศึกษา” รศ.ดร.อดิศรกล่าว
รศ.ดร.อดิศรกล่าวต่อว่า เราต้องยกระดับรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนผ่านการใช้มูนมัง ทรัพยากรภาคอีสาน และที่สำคัญคือ การบริหารรายจ่าย ความสามารถต้องมี การให้ความรู้การเปลี่ยนไมนด์เซตให้กับพี่น้องประชาชนต้องให้ความสำคัญ ภาครัฐต้องมีความช่วยเรื่องสร้างความคุ้มกันให้พี่น้องประชาชนด้วย ฝากทุกท่านและรัฐบาลช่วยกัน
“อีกทั้งภาคอีสานมีมูนมังเหลือเฟือ มีฮวงจุ้ยที่ดี ที่จะข้ามพรมแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้ถึง 6 แห่ง และ 5 แห่งในภาคอีสาน ตอนนี้เราพร้อมทุกอย่าง แต่อยู่ที่กระบวนการจัดการ” รศ.ดร.อดิศรกล่าวปิดท้าย