
TDRI ชำแหละโครงสร้างราคาค่าไฟแพง ชี้มากกว่า 80% มาจากต้นทุนการผลิต แนะรัฐปรับเกณฑ์ LNG เปิดเสรีนำเข้าเชื้อเพลิง พร้อมคิดค่าผ่านท่อตามการใช้งานจริง ระบุอายุท่อเฉลี่ย 40 ปี ต้นทุนคงที่ถูกลงเรื่อย ๆ หักอายุค่าเสื่อมราคาทุกปี แต่ลงทุนอยู่ตลอดเวลา กลายเป็นต้นทุนบวกเพิ่มในค่าไฟ พบปี 2024 เสียค่าความพร้อมจ่ายไปแล้ว 2,500 ล้านบาท เหตุพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟเกินจริง ชี้รัฐลงทุนพลังงานสะอาด เร่งเปิดตลาดไฟฟ้าเสรี พร้อมเปิดระบบสายส่งให้เอกชนขนส่งไฟขายได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) จัดงานสัมมนา “ไฟแพง…แก้อย่างไร ? เขย่าโครงสร้างราคา ขยับสู่ตลาดไฟฟ้าเสรี” พร้อมกับเปิดข้อเสนอแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างราคาค่าไฟอย่างเป็นธรรม และการปฏิรูปกิจการไฟฟ้าให้เป็นแบบเสรีด้วยพลังงานสะอาด โดยร่วมกับมูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) สมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน สมาคมพลังงานหมุนเวียน (RE100) กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน กลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตไฟฟ้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และสมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน
ดร.อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการนโยบายพลังงานทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า โครงสร้างราคาค่าไฟของไทยในปัจจุบันจะถูกประกาศรับฟังความคิดเห็นจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในทุก ๆ 4 เดือน ซึ่งในงวดล่าสุดเดือนมกราคม-เมษายน 2568 กกพ.ได้ประกาศออกมา 3 ทางเลือก ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนเงินและจำนวนงวดที่จะชำระหนี้คืนให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ซึ่งถ้ารัฐเลือกที่จะชำระหนี้คืนทั้งหมดก็จะทำให้ค่าไฟในงวดนี้พุ่งสูงขึ้นไปถึง 4.50 บาทต่อหน่วย แต่ภาครัฐต้องการที่จะช่วยลดภาระประชาชนโดยการยืดชำระหนี้ จึงทำให้ค่าไฟลงมาอยู่ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย และเคาะไว้ที่ 4.15 บาทต่อหน่วย ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการยืดชำระการคืนหนี้ แต่ก็เป็นสิ่งที่ประชาชนต้องจ่ายในอนาคต ดังนั้น ถ้าไม่มีการปรับโครงสร้างอย่างเหมาะสม หนี้ส่วนนี้ก็จะไปบวกรวมกับค่าไฟในอนาคต
TDRI จึงเสนอแนวทางการปรับโครงสร้างราคาค่าไฟ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมอย่างรอบด้าน ว่าการตรึงราคาค่าไฟฟ้า แม้จะช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในระยะสั้น แต่ในความเป็นจริง แนวทางนี้กลับสร้างผลกระทบในหลายด้าน ทั้งเป็นต้นทุนเศรษฐกิจในอนาคต และต่อระบบพลังงานของประเทศ อาทิ 1.สภาพคล่องของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ (กฟผ.) ต้องรับภาระต้นทุนพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ไม่สามารถปรับราคาค่าไฟฟ้าให้สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริงได้
2.เสี่ยงต่อการใช้พลังงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ อาจทำให้ผู้บริโภคขาดแรงจูงใจในการประหยัดไฟฟ้า ส่งผลให้เกิดการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลือง และ 3.โรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็ก ที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนความมั่นคงของระบบพลังงาน ต้องเผชิญกับปัญหาราคาขายไฟฟ้าที่ต่ำกว่าต้นทุนการผลิต ทำให้ผู้ประกอบการขาดแรงจูงใจในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ หรือการลงทุนเพิ่มเติม อันจะกระทบต่อความมั่นคงด้านพลังงานในระยะยาว
3 ข้อเสนอ “เขย่าโครงสร้างไฟแพง”
ดังนั้น เพื่อให้การแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าแพงเป็นไปอย่างยั่งยืน คณะผู้วิจัยทีดีอาร์ไอ เสนอแนวทางในการปฏิรูปโครงสร้างราคาค่าไฟอย่างเป็นธรรม ดังนี้ 1.ในระยะสั้นที่ไทยยังต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ควรสนับสนุนให้มีการแข่งขันทางด้านราคา และมีมาตรการดูแลในเรื่องการแข่งขันที่เป็นธรรม
2.รัฐพิจารณาอัตราผลตอบแทนจากเงินลงทุนจากท่อก๊าซที่ใช้งานแล้วเท่านั้น ไม่ควรนำท่อก๊าซที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและโครงการที่อยู่ระหว่างการลงทุนแต่ได้รับการอนุมัติแล้วมารวมด้วย เนื่องจากอายุของท่อก๊าซ
โดยเฉลี่ยอายุ 40 ปี ต้นทุนคงที่จะถูกลงเรื่อย ๆ เพราะมีการหักอายุค่าเสื่อมราคาทุกปี แต่ปัจจุบันมีการลงทุนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ต้นทุนคงที่ในส่วนนี้ไม่ลดลงตามที่ควรจะเป็น จึงกลายเป็นต้นทุนส่วนเกิน และเป็นต้นทุนที่บวกเพิ่มในค่าไฟฟ้าของประชาชน
ขณะที่ต้นทุนการจองท่อก๊าซถูกส่งผ่านมาในรูปค่าไฟ อยากให้รัฐปรับพิจารณาตามการใช้งานจริง และต้นทุนค่าแปรสภาพก๊าซ หากไม่มีการเตรียมมาตรการมารองรับจะเป็นส่วนเกินที่กำจัดยากในอนาคต
3.นอกจากนี้ การแก้ไขปัญหาปลายน้ำที่สำคัญคือ ส่วนที่รัฐควรดำเนินการปรับหลักการคิดค่าความพร้อมจ่าย (AP) โดยทบทวนการคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าที่สูงเกินจริง ส่งผลให้มีการอนุมัติสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มแต่ไม่มีการใช้งาน ซึ่งแน่นอนว่าโรงไฟฟ้าไม่มีทางขาดทุนเพราะมีการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตในรูปแบบ cost plus ไว้แล้ว ดังนั้นหากไม่ได้เดินเครื่องโรงไฟฟ้าก็จะได้รับเงินชดเชยหรือที่เรียกว่าค่าพร้อมจ่าย
อย่างไรก็ดี ตลอดระยะเวลา 16 ปีที่ผ่านมา คนไทยเสียค่าความพร้อมจ่ายไปกับโรงไฟฟ้าที่ไม่ได้เดินเครื่องกว่า 5 แสนล้านบาท และยังพบว่าเฉพาะปี 2024 ที่ผ่านมา เรามีโรงไฟฟ้า ขนาดใหญ่ 13 โรง ไม่ได้เดินเครื่อง 7 โรง ทำให้เราเสียค่าความพร้อมจ่ายไปแล้ว 2,500 ล้านบาท
แน่นอนว่ารัฐรับรู้อยู่แล้วว่ามีต้นทุนในส่วนนี้และไม่ควรเกิดขึ้น แต่จากร่าง PDP2024 ยังมีแผนที่จะสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่เพิ่มอีก 11 โรง เป็นโรงไฟฟ้าก๊าซรวม 6,300 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่ลาวอีก 3 โรง รวม 3,500 เมกะวัตต์ ซึ่งโรงไฟฟ้าเหล่านี้ไม่ได้เดินเครื่องอย่างแน่นอนเพราะในร่าง PDP ฉบับนี้ยังคงคาดการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าที่สูงเกินจริงอยู่
โดยให้ผู้ผลิตไฟฟ้าร่วมกันรับผิดชอบต้นทุนการก่อสร้าง เพื่อลดภาระค่าความพร้อมจ่าย อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปโครงสร้างราคาค่าไฟฟ้าข้างต้นเป็นเพียงมาตรการในระยะสั้น การแก้ปัญหากิจการไฟฟ้าอย่างยั่งยืนต้องพิจารณาทั้งห่วงโซ่อุปทานที่จะทำให้ไทยได้ไฟฟ้าสะอาดในราคาที่เป็นธรรม และตอบรับกับการมุ่งสู่เป้าหมาย เศรษฐกิจสังคมคาร์บอนต่ำ โดยเครื่องมือที่จะช่วยเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านนี้ คือการเปิดตลาดไฟฟ้าเสรี
แนะ “ขยับสู่ตลาดไฟฟ้าเสรี”
ด้านนายชาคร เลิศนิทัศน์ นักวิจัยอาวุโส ทีดีอาร์ไอ เปิดเผยถึงข้อเสนอเชิงนโยบายและแนวทางในการปฏิรูปกิจการไฟฟ้าให้เป็นแบบเสรี ด้วยพลังงานสะอาด ว่าการจะทำตลาดไฟฟ้าเสรีอย่างเป็นระบบได้นั้น ภาครัฐต้องคำนึงถึง 2 ส่วนสำคัญ ดังนี้
1.เร่งเปิดสิทธิให้เอกชนเชื่อมต่อระบบสายส่งและสายจำหน่ายไฟฟ้า โดยดำเนินการเป็นระยะ ๆ ทยอยเริ่มจากเปิดสิทธิให้กับภาคส่งออกที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการ CBAM และภาคอุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่ที่มีเป้าหมายใช้ไฟฟ้าพลังงานสะอาด 100 เปอร์เซ็นต์ (RE 100) ภายในปี พ.ศ. 2573
2.การคิดค่าธรรมเนียมเชื่อมต่อสายส่ง ต้องสอดคล้องกับความต้องการและการเปลี่ยนแปลงของตลาดพลังงานที่ซับซ้อนมากขึ้น โดยในส่วนของต้นทุนระบบโครงข่าย (Wheeling Charge) ควรมีติดตามและทบทวนการคำนวณต้นทุนของระบบทุก 3-5 ปี เพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ในระยะแรกควรมีการคิดต้นทุนของระบบที่ไม่ซับซ้อน โดยขึ้นกับระยะทางเป็นหลักและปรับเป็นการเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบโครงข่าย (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในเอกสารประกอบการนำเสนอ)
ไทยจำเป็นต้องขยับเข้าสู่ตลาดไฟฟ้าเสรี ซึ่งหากไทยไม่เร่งเปิดตลาดไฟฟ้าเสรีเพื่อเร่งผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด จะเผชิญกับผลกระทบใน 3 ด้าน ทั้ง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยในด้านเศรษฐกิจ การไม่เปิดตลาดไฟฟ้าเสรีจะทำให้ผู้ประกอบการได้ไฟฟ้าพลังงานสะอาดไม่เพียงพอ ซึ่งกระทบต่อไปยังต้นทุนการผลิตที่จะสูงขึ้น เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมต้องพึ่งพาการซื้อไฟฟ้าผ่านโครงการไฟฟ้าสีเขียว หรือ Utility Green Tariffs (UGT) ในราคาที่มีต้นทุนสูงกว่าไฟฟ้าทั่วไป
นอกจากนี้ การที่ไทยไม่สามารถจัดสรรไฟฟ้าพลังงานสะอาดมากพอ ยังกระทบต่อการส่งออก ตามกลไกการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) ทำให้ผู้ส่งออกต้องเสียค่าธรรมเนียมคาร์บอนซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น
ขณะเดียวกัน หากไทยยังไม่เร่งเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด อาจทำให้ประเทศสูญเสียการลงทุนโดยตรงจากนักลงทุนต่างชาติถึง 45% ของมูลค่าการลงทุนรวมจากญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนในไทยรวมกว่า 8.7 แสนล้านบาท (ปี 2561-2566) รวมทั้งสูญเสียโอกาสดึงดูดการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ต้องพึ่งพาพลังงานสะอาด เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า และเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งมีมูลค่าถึง 6.9 แสนล้านบาท หรือ 48% ของมูลค่าการส่งเสริมการลงทุนทั้งหมด
“ถ้าไทยมีการเปิดตลาดไฟฟ้าเสรีจะส่งเสริมให้มีผู้ผลิตไฟฟ้าเข้ามาเพิ่มการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดให้กับประเทศ เป็นการช่วยปิดความเสี่ยงจากการถอนการลงทุนจากบริษัทข้ามชาติเหล่านี้ได้” นายชาครกล่าว