ไทยร่วม BRICS เป็นทางการ จับตาประเทศตลาดเกิดใหม่คานอำนาจโลก

BRICS
สนั่น อังอุบลกุล-ชัยชาญ เจริญสุข

ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นประเทศหุ้นส่วนของกลุ่ม BRICS อย่างเป็นทางการ ซึ่งมีประเทศสมาชิก 9 ประเทศ ได้แก่ บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน แอฟริกาใต้ เอธิโอเปีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อียิปต์ และอิหร่าน BRICS ได้มีการขยายสมาชิกอย่างเป็นทางการ โดยอินโดนีเซีย เป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประเทศแรกที่ได้สถานะสมาชิกลำดับที่ 10 เต็มตัว

การเข้าร่วม BRICS อย่างเป็นทางการของไทย จะเป็นการเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับประเทศสมาชิก BRICS ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว โดยมีประชากรรวมกันกว่า 4,000 ล้านคน หรือเกือบครึ่งหนึ่งของโลก มีจีดีพีรวม 25% ของโลกอีกด้วย

นอกจากนี้ การเข้าเป็นประเทศหุ้นส่วนของกลุ่ม BRICS ยังช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระดับประชาชนระหว่างไทยกับประเทศสมาชิกและประเทศหุ้นส่วนของกลุ่ม BRICS ทั้งยังเป็นการส่งเสริมบทบาทของไทยในกรอบความร่วมมือพหุภาคี ซึ่งไทยต้องการผลักดันให้ประเทศกำลังพัฒนาได้รับความสำคัญมากขึ้น

รวมถึงแสดงความพร้อมที่จะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างกลุ่ม BRICS กับกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศต่าง ๆ ที่ไทยมีบทบาทสำคัญ อาทิ อาเซียน เอเปค ACD และ BIMSTEC ด้วย อย่างไรก็ดี ในปี 2568 บราซิลจะเป็นประธานกลุ่ม BRICS ซึ่งไทยจะมีโอกาสเข้าร่วมการประชุมบางรายการในฐานะประเทศหุ้นส่วนเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนความร่วมมือของกลุ่ม BRICS ด้วย

เอกชนชี้ BRICS ขั้วอำนาจใหม่

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) และในฐานะประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หอการค้าไทยมองว่าบทบาทของกลุ่ม BRICS มีความน่าสนใจ และถือเป็นการจับขั้วกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาใหม่ที่จะเข้ามามีส่วนคานอำนาจในเวทีเศรษฐกิจโลกมากขึ้น โดยเฉพาะการริเริ่มใช้สกุลเงินของตัวเองหรือกลไกทางเศรษฐกิจที่ไม่ต้องพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ

ส่วนนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจโลกและสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับประเทศไทยและภาคเอกชนไทยอยู่ 4 ประเด็นหลัก ๆ คือ

ADVERTISMENT

1.การเข้าร่วม BRICS ของไทย จะช่วยให้การกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ จากความผันผวนของปัญหา Geopolitics โดยลดการพึ่งพาตลาดเดิม เช่น สหรัฐและยุโรป และเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าไปยังตลาดเกิดใหม่ เช่น อินเดียและแอฟริกาใต้ ซึ่งมีศักยภาพการเติบโตของตลาดสูง

2.BRICS จะมีส่วนช่วยยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของไทย เนื่องจากกลุ่ม BRICS มีแผนการลงทุนขนาดใหญ่ในโครงสร้างพื้นฐานผ่านกลไกอย่าง New Development Bank (NDB) ซึ่งเอกชนไทยสามารถเข้าไปร่วมเป็นพันธมิตรในโครงการเหล่านี้ โดยเฉพาะในด้านก่อสร้าง เทคโนโลยี และบริการ ทั้งนี้ หากไทยสามารถเข้าไปเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มได้ก็สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทยให้สมบูรณ์มากขึ้น

ADVERTISMENT

3.เป็นโอกาสของไทยในการขยายตลาดสินค้าและบริการที่มีมูลค่าสูง ต้องยอมรับว่า ความต้องการสินค้าเกษตร อาหาร และสินค้าเทคโนโลยีในประเทศ BRICS ยังคงสูง เอกชนไทยสามารถนำเสนอสินค้าและบริการที่เน้นคุณภาพและนวัตกรรม เช่น สินค้าอาหารเพื่อสุขภาพ เทคโนโลยีเกษตร และบริการด้านสุขภาพ โดยการส่งออกของไทยไปยังกลุ่ม BRICS (9 ประเทศสมาชิกทางการ) โดย 9 เดือนแรกของปี 2567 มีมูลค่า 42,769.8 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 20% ของการส่งออกทั้งหมด และยังมีแนวโน้มเติบโตได้อีกในอนาคต

4.การใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการค้าระหว่างประเทศ หากในอนาคต BRICS สามารถพัฒนาไปสู่การใช้สกุลเงินของตัวเองหรือการค้าด้วยสกุลเงินท้องถิ่นมากขึ้น เอกชนไทยอาจลดต้นทุนจากความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และสามารถใช้กลไกทางการเงินที่เอื้อต่อธุรกิจมากขึ้น

อย่างไรก็ดี ประเด็นสำคัญที่ไทยควรมุ่งเน้นในฐานะประเทศ “พันธมิตรยุทธศาสตร์” ของกลุ่ม BRICS คือ การใช้จุดแข็งทางภูมิศาสตร์และเศรษฐกิจของไทยในการเชื่อมโยงระหว่าง BRICS กับภูมิภาคอาเซียน ในการพัฒนาความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจ การเงิน เทคโนโลยี และวัฒนธรรมจะช่วยให้ไทยได้รับประโยชน์สูงสุด ขณะเดียวกันประเทศไทยจำเป็นต้องแสดงให้เห็นว่าเราต้องการรักษาสมดุล และเป็นมิตรกับทุกกลุ่มประเทศโดยไม่ได้เลือกข้าง เพื่อเป็นการสร้างโอกาสทางการค้าและการส่งออกในตลาดโลก

เน้นวางตัวเป็นกลางชาติการค้า

นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า สำหรับกรณีที่ไทยเข้าร่วมหุ้นส่วนความตกลงต่าง ๆ และล่าสุดไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่ม BRICS อย่างเป็นทางการว่า ไทยจะต้องยึดหลักการวางตัวเป็นกลาง ในขั้วมหาอำนาจ ทั้งจีน รัสเซีย และอินเดีย แม้จะเป็นเพียงข้อตกลงความร่วมมือ ไม่ใช่ข้อตกลง FTA

หากไทยวางหลักการมั่นคง เป็นชาติการค้า และรักษาสมดุล หรือความเป็นกลางเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ จะทำให้มีพันธมิตรที่หลากหลาย เป็นโอกาสในการเปิดตลาดใหม่ ๆ อีกทั้งทำให้เกิดความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ช่วยขยายโอกาสทางการค้าและการส่งออกของไทยไปกลุ่ม BRICS ได้ และในปี 2567 การส่งออกไปตลาดกลุ่มนี้ก็เติบโตได้ดีขยายตัว 4%

โดยเฉพาะประเทศบราซิล รัสเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แอฟริกาใต้ ซึ่งถือว่าเป็นตลาดใหญ่ที่น่าสนใจ ขณะที่จีนและอินเดีย เป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง นอกจากนี้จะทำให้ต้นทุนปัจจัยการผลิตถูก ทั้งพลังงาน ก๊าซ และปุ๋ย ได้ราคาถูกจากในกลุ่มนี้ และมีโอกาสค้าขายด้วยเงินหยวน เงินบาท หรือ
สกุลอื่น ทำให้มีความต้องการเงินบาทเพิ่มขึ้น เพราะจะมีการลดการใช้ดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม ไทยอาจถูกมาตรการกีดกันทางการค้าจากชาติตะวันตก ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด และการเข้าร่วมกลุ่ม BRICS ของไทยยังมีโอกาสที่ไทยจะถูกทรัมป์สั่งเก็บภาษีนำเข้าเพิ่ม ทำให้การส่งออกไทยไปสหรัฐลดลง เพราะทรัมป์ขู่ BRICS จะเก็บภาษี 100% หากเลิกใช้ดอลลาร์สหรัฐ การวางตัวเป็นกลางของประเทศไทยจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อการค้าในตลาดโลก