
อัครา รมช.กระทรวงเกษตรฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมมาตรการควบคุมและจัดการกับการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรและระบบนิเวศ ย้ำพร้อมช่วยเกษตรกร
รายงานข่าวระบุว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ลงพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินมาตรการควบคุมและจัดการกับการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรและระบบนิเวศ
จากข้อมูลล่าสุด พบว่าการระบาดของปลาหมอคางดำในพื้นที่มีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยมาตรการในการกำจัดปลาหมอคางดำของกรมประมงเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรมแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหานี้ยังต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้จำนวนปลาเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต
โดยมาตรการและตัวเลขข้อมูลที่ใช้ในพื้นที่ “สมุทรสงคราม” จนสัมฤทธิ์ผล ประกอบด้วย
มาตรการที่ 1 การควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำทุกแห่งที่พบการแพร่ระบาด โดยวิธีการลงแขก-ลงคลองจับปลาหมอคางดำ ซึ่งสามารถกำจัดปลาหมอคางดำออกจากแหล่งน้ำได้ จำนวน 55,302.55 กิโลกรัม และการกำจัดปลาหมอคางดำจากบ่อเลี้ยงด้วยกากชาและส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์น้ำชนิดอื่นร่วมด้วย
มาตรการที่ 2 การกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยการปล่อยปลาผู้ล่าอย่างต่อเนื่อง อาทิ ปลากะพงขาว และปลาอีกง สู่แหล่งน้ำธรรมชาติ นับตั้งแต่ที่พบการแพร่ระบาดในพื้นที่ ไปแล้วกว่า 673,500 ตัว
มาตรการที่ 3 การนำปลาหมอคางดำที่กำจัดออกจากระบบนิเวศไปใช้ประโยชน์ อาทิ โครงการผลิตน้ำหมักชีวภาพจากปลาหมอคางดำ โครงการผลิตน้ำหมักชีวภาพเพื่อเกษตรกรชาวสวนยาง โครงการสร้างแรงจูงใจในการนำปลาหมอคางดำที่กำจัดออกไปใช้ประโยชน์โดยการหมักปลาร้า พ.ศ. 2567 รวมการนำปลาหมอคางดำมาใช้ประโยชน์ ระหว่างเดือนสิงหาคม 2567-มกราคม 2568 จำนวน 331,282 กิโลกรัม
อีกทั้งยังได้ดำเนินการตามมาตรการสำรวจและเฝ้าระวังการแพร่กระจาย ปลาหมอคางดำในพื้นที่เขตกันชนรวมถึง ส่งเสริมการรับรู้ ความตระหนัก และการมีส่วนร่วมในการกำจัดปลาหมอคางดำให้แก่กลุ่มเกษตรกรด้วย
ส่วนมาตรการหลักที่ดำเนินการอยู่ในระดับประเทศ ประกอบด้วย 7 มาตรการสำคัญ ได้แก่
1.เร่งกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำ – โดยใช้วิธีการลงแขก-ลงคลองในการจับปลา และกำจัดด้วยกากชา ซึ่งสามารถกำจัดปลาหมอคางดำได้เป็นจำนวนมาก
2.การปล่อยปลาผู้ล่า – ได้แก่ ปลากะพงขาว เพื่อควบคุมจำนวนปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ
3. การนำปลาหมอคางดำไปใช้ประโยชน์ – เช่น โครงการผลิตน้ำหมักชีวภาพซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร
4. การปรับปรุงกฎระเบียบและข้อบังคับ – เพื่อให้การควบคุมและแก้ไขปัญหามีประสิทธิภาพมากขึ้น
5. การสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชน – เกี่ยวกับผลกระทบของการแพร่ระบาดและการมีส่วนร่วมในการช่วยกันแก้ไขปัญหา
6. การพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม – เพื่อสร้างความก้าวหน้าในด้านการจัดการประชากรปลาหมอคางดำ
7. การฟื้นฟูระบบนิเวศ – โดยการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำที่เหมาะสมในพื้นที่ที่มีประชากรลดน้อยลง
ในส่วนภาพรวมของประเทศ จากการสำรวจล่าสุดในเดือนธันวาคมปี 2567 พบว่าพื้นที่การระบาดของปลาหมอคางดำลดลงจาก 19 จังหวัด เหลือเพียง 17 จังหวัด โดยเฉพาะในจังหวัดปราจีนบุรีและพัทลุง ซึ่งมีปริมาณปลาหมอคางดำอยู่ในระดับที่น้อยมาก
อย่างไรก็ดี ความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหานี้เป็นผลมาจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน รวมถึงการสนับสนุนจากนักวิชาการ และคนในชุมชน เพื่อให้การจัดการปลาหมอคางดำเข้าสู่สมดุลธรรมชาติได้อย่างแท้จริง
ประเด็นสำคัญที่สอดคล้องกับภารกิจนี้คือ การช่วยเหลือเกษตรกรให้ได้เข้าถึงความรู้ ด้านการเลี้ยงกุ้งและปลาในระบบนิเวศที่ยั่งยืน สร้างความมั่นคงและความเสถียรในอาชีพพวกเขาในอนาคต นอกจากนี้ ภาครัฐยังมีแผนการหางบประมาณเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนับว่าเป็นความตั้งใจจริงของภาครัฐในการดูแลและคำนึงถึงผลประโยชน์ของเกษตรกร พัฒนาความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศในประเทศไทยต่อไป
นอกจากนี้ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังได้แชร์ข้อมูลการสำรวจล่าสุด ผ่านเพจของเขา ซึ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือของข้อมูล และแสดงให้เห็นถึงความสนใจติดตามความก้าวหน้าในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด สะท้อนความมุ่งมั่นร่วมมือจากทุก ๆ หน่วยงานในการมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม