‘ทรัมป์’ เขย่าราคาน้ำมันโลก สินค้าเกษตรไทยสะเทือน จับตาดีลกำแพงภาษีจีน

trump

เริ่มต้นยุคทรัมป์ 2.0 “America Great Again” กำลังส่งผลกระทบไปทั่วโลก หลังทรัมป์เซ็นคำสั่งฝ่ายบริหารพร้อมประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน ฟื้นการขุดเจาะน้ำมัน-ก๊าซธรรมชาติ กดราคาน้ำมันถูกลง แต่ต้องไม่ต่ำกว่า 40 เหรียญ/บาร์เรล สร้างอานิสงส์ให้กับ บริษัทพลังงานไทย ทั้งธุรกิจโรงไฟฟ้า-น้ำมัน-ขนส่งน้ำมันทางท่อ แต่การขึ้นภาษีศุลกากรยังไม่ชัดเจน ต้องรอผลศึกษา-เจรจาจีน จับตาไทยเกินดุลการค้าสหรัฐเป็นลำดับที่ 12 อยู่ในลิสต์ที่จะถูกขึ้นภาษี ด้านสภาอุตสาหกรรม-หอการค้าแนะจ้างล็อบบี้ยิสต์ พร้อมวางกลยุทธ์เจรจาต่อรอง ห่วงสินค้าเกษตรไทยโดนแน่

โดนัลด์ ทรัมป์ ได้กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสาบานตนเพื่อเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 ว่า ยุคสมัยแห่งความตกต่ำสิ้นสุดลงแล้ว ยุคทองของอเมริกาเริ่มต้นขึ้นแล้ว และบอกว่ากลับมาเพื่อสานต่อนโยบายอเมริกาต้องมาก่อน (America First) พร้อมกับให้คำมั่นสัญญาหลายด้านหลายประการ ทั้งด้านการค้า ภาษีศุลกากร และการจัดเก็บภาษีจากบริษัทต่างชาติ โดยกล่าวว่า “แทนที่จะเก็บภาษีพลเมืองของเราเพื่อทำให้ประเทศอื่นร่ำรวยขึ้น เราจะเก็บภาษีศุลกากรและเก็บภาษีจากต่างประเทศ เพื่อทำให้พลเมืองของเราร่ำรวยขึ้น”

พร้อมกับเซ็นคำสั่งฝ่ายบริหารและลงนามในบันทึกเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงการยกเลิกคำสั่งบริหารของอดีตประธานาธิบดีไบเดน 78 ฉบับ, การถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO), ถอนตัวจากข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) และข้อตกลงภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC), ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติที่ชายแดนตอนใต้ของสหรัฐ เพื่อแก้ปัญหาการอพยพเข้าเมืองอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ระงับการรับผู้ลี้ภัย,

ประกาศใช้นโยบายการค้าที่ให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก (America First Trade Policy) ต้องกำหนดนโยบายการค้าที่ส่งเสริมการลงทุนในประเทศ แก้ไขการค้าที่ไม่เป็นธรรมและไม่สมดุล โดยใช้มาตรการที่เหมาะสม เช่น ภาษีศุลกากร, ส่งเสริมการสำรวจและการผลิตพลังงาน แร่ธรรมชาติ, ยกเลิกกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาแหล่งพลังงานในประเทศ ยกเลิกข้อกำหนดที่เป็นภาระของพลเมือง เช่นข้อกำหนดสัดส่วนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และชี้แจงต่อ OECD ว่าข้อตกลงภาษีสากล (Global Tax Deal) ไม่มีผลบังคับในสหรัฐ

ลุ้นต่อมาตรการภาษี

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย กล่าวว่า การเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์มีทั้งจุดที่น่ากังวลและจุดที่สบายใจขึ้น โดยอย่างน้อยท่าทีขณะนี้คือ “ไม่ได้ผลีผลามที่จะขึ้นภาษี” อย่างที่เคยประกาศว่าจะขึ้นภาษีจีน-เม็กซิโก-แคนาดาทันที แต่ท่าทีล่าสุดดูเหมือนจะทำอะไรอย่างระมัดระวัง โดยระบุว่าจะมีการเจรจากันก่อนที่จะขึ้นภาษีเม็กซิโกกับแคนาดา รวมถึงการแบนแอปพลิเคชั่นติ๊กต๊อกที่ดูมีทางออก

“นักลงทุนน่าจะสบายใจในระดับหนึ่ง เห็นได้จากตัวดอลลาร์ที่กลับมาอ่อนค่า จากเดิมที่แข็งค่ามาตลอด ค่าเงินเอเชียก็กลับมาแข็งค่า ราคาน้ำมันก็ปรับตัวย่อลง เพราะทรัมป์พูดถึงความพยายามที่จะขุดน้ำมันออกมาใช้ก็มีความชัดเจนในสิ่งที่เขาจะทำ ที่มีการใช้คำว่าประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงาน ก็มองด้านบวกได้บ้าง ส่วนเรื่องผู้อพยพที่กลัวว่าจะมีการไล่คนออกนอกประเทศ จะทำให้ตลาดแรงงานตึงตัว ก็มีเดินหน้า แต่ก็ไม่ได้ออกมาว่าจะต้องเร่งทำใน 24 ชั่วโมง แล้วจะเกิดความรุนแรงในประเทศ”

ADVERTISMENT

ดร.อมรเทพกล่าวอีกว่า โดยรวมแล้วสิ่งที่ทรัมป์พูดก็คือ การพยายามทำให้สหรัฐกลับมาแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง (America Great Again) เพียงแต่ทรัมป์ก็อาจจะดูสถานการณ์ด้วย ไม่ได้วู่วามเกินไป ซึ่งตลาดคงตอบรับด้านบวก แต่ก็เพียงชั่วคราว เพราะทรัมป์ก็ต้องเดินหน้าสิ่งที่ประกาศเอาไว้ ทั้งเรื่องพลังงานฟอสซิล การออกจาก Paris Agreement “ไทยก็คงต้องจับตาเรื่องภาษีให้ดี เพราะว่าอาจจะมีความเป็นไปได้ว่าหลังจากนี้ไป สหรัฐอาจจะมีมาตรการทางภาษีเพื่อลดการขาดดุลการค้า ซึ่งไทยเราก็เป็นประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐอันดับที่ 12 และยังโตต่อเนื่อง ก็ต้องดูว่าสหรัฐจะมีท่าทีกับไทยอย่างไร” ดร.อมรเทพกล่าว

สินค้าเกษตรไทยโดนแน่

ด้าน ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวว่า การที่ทรัมป์ยังไม่ประกาศมาตรการด้านภาษีนั้น “ทำให้ยังคงมีความคลุมเครือเป็นปัจจัยที่คาดเดาไม่ได้” ซึ่งจะสร้างความผันผวนต่อไป โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ มองว่าการที่ทรัมป์ยังไม่ประกาศมาตรการภาษีมี 2-3 ประเด็นด้วยกันคือ 1) มีความคิดที่ไม่เห็นด้วยกันภายในทีมของทรัมป์เอง เพราะมีทั้งสายเหยี่ยวและสายพิราบ 2) ต้องทบทวนข้อตกลงต่าง ๆ ให้ชัดเจน 3) ทรัมป์น่าจะต้องการคุยกับ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนก่อนด้วย

ADVERTISMENT

“มีการให้หน่วยงานของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องไปประเมิน 3 เรื่องคือ 1) การขาดดุลการค้าของสหรัฐ (Trade Deficit) ว่าเกิดกับประเทศอะไรมากสุด 2) การกระทำที่เป็นการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม (Unfair Trade Practice) 3) การบิดเบือนค่าเงิน (Currency Manipulation) เพื่อให้มีข้อมูลแบ็กกราวนด์บ้าง ไม่ใช่จะฟาดทุกคนเหมือนกันหมด ไม่อย่างนั้นประเทศที่ขาดดุลกับสหรัฐก็จะโดนไปด้วย ดังนั้น ก็คงต้องมีข้อมูลก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดขึ้น”

หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ KKP กล่าวอีกว่า เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่เกินดุลสหรัฐ ดังนั้น คงต้องเตรียมรับมือหาทางเจรจาต่อรองไว้ล่วงหน้า เช่น จะซื้อสินค้าอะไรจากสหรัฐได้หรือไม่ โดยสินค้าบางอย่างอาจจะเคยซื้อจากประเทศอื่น อาจจะเปลี่ยนมาซื้อจากสหรัฐ เป็นต้น “ทั้งหมดนี้ต้องคิดไว้ก่อน เพราะไม่รู้เราจะโดนอะไร ซึ่งของเราตัวที่จะโดนแน่ ๆ ผมคิดว่าคือสินค้าเกษตร เพราะเราเก็บภาษีสินค้าเกษตรจากสหรัฐค่อนข้างมาก” ดร.พิพัฒน์กล่าว

เตรียมจ้างล็อบบี้ยิสต์

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ทรัมป์จะเริ่มทำตามที่เคยได้กล่าวไว้ แต่จะทยอยทำตามลำดับเป็นเรื่อง ๆ โดยเฉพาะการขึ้นภาษี ประเทศไทยยังมีเวลาที่จะปรับตัวหาตลาดใหม่ ๆ และรัฐบาลต้องเตรียมความพร้อม “ตั้งวอร์รูมและหาล็อบบี้ยิสต์ดี ๆ เก่ง ๆ เข้าไปเจรจาด้านการค้าที่ไทยเกินดุลอยู่” สำหรับนโยบายด้านพลังงาน การที่ทรัมป์ไม่เน้นเรื่องนโยบายสิ่งแวดล้อม และจะออกจากข้อตกลงปารีสนั้น จะมีผลกระทบทั้งบวกและลบ

เนื่องจากการถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส ก็คือการชะลอมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของสหรัฐ อุตสาหกรรมไทยอาจจะเห็นข้อดีเรื่องของต้นทุนผลิตลดลง ลดแรงกดดันต่อธุรกิจส่งออกไทยในระยะสั้น กับการปรับตัวเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน ขณะเดียวกัน ทิศทางของอุตสาหกรรมที่สนับสนุนด้านการใช้พลังงานสะอาดจะชะลอตัวที่จะดำเนินงานไปสู่ Carbon Neutrality และ Net Zero ทำให้ปัญหาโลกร้อนยังคงอยู่

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเตรียมที่จะเพิ่มการขุดเจาะหาแหล่งน้ำมัน เพิ่มการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล (น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน) เชื่อว่า ราคาน้ำมันดิบจะเหลือประมาณ 60 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่งผลทำให้ราคาพลังงานมีแนวโน้มลดลงหรือคงที่ ทั้งในตลาดโลกและไทยในช่วงระยะสั้น ส่วนนโยบายลดการให้เงินอุดหนุน หรือการให้เครดิตภาษีการลงทุนในส่วนของลม ไฮโดรเจน และโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage : CCS) แต่จะส่งเสริมนิวเคลียร์ (SMR) และโซลาร์เซลล์ จึงเป็นโอกาสของอุตสาหกรรมไทยในการส่งออก “แผงโซลาร์เซลล์” ทดแทนส่วนที่สหรัฐต้องนำเข้าจากจีน

รัฐ-เอกชนต้องร่วมมือรับทรัมป์

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการ บริษัทศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) และในฐานะประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ทรัมป์ 2.0 ให้ความสำคัญ “America First” และจากการติดตามการประกาศนโยบายล่าสุด “ผมมองว่ายังไม่รุนแรงและกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมากนัก” สำหรับผลกระทบต่อประเทศไทยนั้น “ยังไม่ชัดเจน” โดยเฉพาะการขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้า

ดังนั้น ประเทศไทยจะต้องทำงานเชิงรุกและภาครัฐและภาคเอกชนจำเป็นจะต้องจับมือกัน เพื่อที่จะติดตามสินค้าที่อาจจะถูกจัดเก็บภาษีและควรจะมีการหารือหากจะเกิดการเจรจาแลกเปลี่ยน ควรจะมีความพร้อมและมีการพิจารณาสินค้าที่เหมาะสมนำไปหารือนั้นควรเป็นสินค้าอะไรบ้าง “สินค้าที่มีเป็นกระแสทั้งเนื้อหมู-เนื้อวัว ที่จะนำไปหารือแลกเปลี่ยนกับสหรัฐยังมองว่าไม่ชัดเจน และเห็นว่าเราไม่ควรจะแบไต๋” นายสนั่นกล่าว

สำหรับนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่จะมีการขึ้นภาษีกับบริษัทต่างชาตินั้น ซึ่งก็มีบริษัทรายใหญ่ของไทย โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานมีการไปลงทุนในสหรัฐพอสมควร โดยเฉพาะการลงทุนในเรื่องของพลังงานสะอาด สิ่งที่จะต้องติดตาม หรือคาดว่าจะได้รับผลกระทบอาจจะเป็นใน กลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า สิ่งที่จะเห็นในทันทีคือ แนวโน้มราคาน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ จะมีการปรับตัวสูงขึ้น โดยมีประเด็นนี้ ผู้ประกอบการและเอกชนไทยจำเป็นจะต้องเตรียมรับมือและปรับตัวกับราคาพลังงานที่อาจจะสูงขึ้น

จับตาราคาน้ำมันโลก

“Drill Baby, Drill” ได้กลายเป็นสโลแกนด้านพลังงานของทรัมป์ที่สนับสนุนการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติแบบเร่งด่วนรุนแรงจนถึงขั้น “ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงานแห่งชาติ” เพื่อเพิ่มซัพพลายน้ำมันในประเทศ หวังกดให้ราคาพลังงานถูกลง ส่งผลให้ราคาน้ำมันในเช้าวันที่ 21 มกราคม “ปรับตัวลดลง” เนื่องจากตลาดกังวลกับนโยบายของสหรัฐที่มุ่งเน้นการเพิ่มอุปทานน้ำมัน โดยราคาน้ำมันดิบเบรนต์ลดลงต่ำกว่า 80 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากที่ลดลงก่อนหน้านี้ จากการที่สหรัฐประกาศคว่ำบาตรน้ำมันรัสเซียเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 10 มกราคม

หากมองตามกลไกตลาดแล้ว ราคาน้ำมันในระยะต่อจากนี้น่าจะลดลง อย่างไรก็ตาม จอห์น เคมป์ (John Kemp) นักวิเคราะห์ตลาดพลังงานเพิ่งวิเคราะห์เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้ว่า ปริมาณน้ำมันดิบสำรองของสหรัฐลดลงเร็วกว่าปกติมาก ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2024 เป็นต้นมา และ ณ ปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี (นับตั้งแต่ 2015) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ในขณะที่ปริมาณน้ำมันสำรองทั่วโลกโดยรวมก็ลดลงด้วย และลดลงเร็วกว่าที่ สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) คาดการณ์ไว้มาก ส่งผลให้ IEA คาดว่าปีนี้ปริมาณน้ำมันดิบส่วนที่จะเกินดุลจะน้อยลงมาก ซึ่งหมายความว่าราคาน้ำมันอาจจะไม่ลดลงมากนักจากนโยบายของทรัมป์

EGCO ยิ้มโรงไฟฟ้าได้ประโยชน์

ด้าน ดร.จิราพร ศิริคำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO กล่าวว่า จากนโยบายของทรัมป์ที่ให้ความสำคัญกับพลังงานแบบดั้งเดิม (Conventional) หรือเพิ่มการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและชะลอการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานหมุนเวียน จะมีผลทำให้ราคาการซื้อขายไฟฟ้าผ่านตลาดกลางในสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มที่จะ “ปรับตัวลดลง” ด้วยการเพิ่มกำลังผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจโรงไฟฟ้าประเภทพลังงานความร้อนร่วม (Combined-Cycle Power Plant) และโรงไฟฟ้าประเภท Cogeneration ในเรื่องต้นทุนเชื้อเพลิงเพื่อการผลิตไฟฟ้า

ซึ่ง EGCO Group มีการลงทุนในส่วนนี้ในสหรัฐ นอกจากนี้ธุรกิจที่ EGCO Group เข้าไปลงทุนในสหรัฐยังจะได้รับประโยชน์จากนโยบายลดภาษีระดับรัฐบาลกลาง (Federal Taxes) และการลดกฎระเบียบ เช่น ธุรกิจโรงไฟฟ้าทั้งก๊าซธรรมชาติและพลังงานหมุนเวียนที่เป็นอุตสาหกรรมที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวดในสหรัฐอเมริกา จากนโยบายดังกล่าวทำให้การสนับสนุนการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนในสหรัฐมีโอกาสที่จะชะลอตัวลงบ้าง อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวน่าจะส่งผลในระยะกลางหรือระยะยาว ซึ่งเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการที่เข้าไปลงทุนได้มีเวลาปรับตัว เนื่องจากความต้องการพลังงานหมุนเวียนยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ EGCO Group ได้เตรียมปรับปรุงกระบวนการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าที่ใช้ฟอสซิลผ่านการปรับปรุงเครื่องกังหันก๊าซของโรงไฟฟ้า Linden Cogen หน่วยที่ 6 ในสหรัฐอเมริกาที่ COD แล้ว ให้สามารถใช้ก๊าซที่เกิดจากกระบวนการผลิตของโรงกลั่นที่มีไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบแล้วนำมาผสมในสัดส่วน 40% เพื่อเป็นเชื้อเพลิงร่วมกับก๊าซธรรมชาติที่ใช้อยู่เดิม ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโดยรวมของโรงไฟฟ้า และช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซ CO2 โดยรวมลงประมาณ 10%

ทั้งนี้ EGCO Group เข้าไปลงทุนในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 2021 ทั้งโรงไฟฟ้าแบบดั้งเดิม (Conventional) ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง เช่น โรงไฟฟ้า Linden Cogeneration และกลุ่มโรงไฟฟ้า Compass สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนได้ลงทุนผ่าน APEX ผู้พัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์

บ.น้ำมันเฮ พลังงานฟอสซิลกลับ

นายรังสรรค์ พวงปราง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการเงินและความยั่งยืน บริษัทพีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG กล่าวว่า นโยบายไม่เน้นสิ่งแวดล้อมและสนับสนุนการใช้พลังงานฟอสซิลของทรัมป์ถือเป็นทิศทางที่เป็นบวกสำหรับธุรกิจน้ำมัน แต่ PTG เองก็ไม่ได้เห็นด้วยในมุมมองที่ไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม บริษัทเองก็ปรับทิศทางบริหารธุรกิจให้มีความสมดุลกัน ในส่วนของราคาน้ำมันคาดว่าจะยังคงทรงตัวในระดับปัจจุบัน 70-80 เหรียญต่อบาร์เรล “จะไม่กระทบกับ PTG มากนัก เพราะ เราเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันขั้นปลาย” ขณะที่ภาคการลงทุนธุรกิจที่มาจากสหรัฐมองว่าก็จะไม่มีผลกระทบ เช่น การได้สิทธิบริหารแบรนด์ SUBWAY เป็นผลเชิงบวกสำหรับเรามากกว่า

ด้าน ม.ล.ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ (BAFS) ในมุมมองของ BAFS เห็นว่า การประกาศนโยบายภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานของทรัมป์ เพื่อลดขั้นตอนการขอใบอนุญาตขึ้นโครงการใหม่ ๆ ในสหรัฐ เพื่อเพิ่ม Production และเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันของสหรัฐ “อาจจะส่งผลให้ราคาน้ำมันลดลง เพราะกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น” แต่ในข้อเท็จจริงกว่าที่โครงการใหม่ ๆ จะเกิดขึ้นต้องใช้ระยะเวลา 1-2 ปี ตอนนี้สหรัฐมีกำลังการผลิตอยู่ราว 12 ล้านบาร์เรลต่อวัน ใช้ในประเทศ 8 ล้านบาร์เรลและส่งออกราว 4 ล้านบาร์เรล

ถ้านโยบายนี้ประสบความสำเร็จ กำลังการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น สหรัฐก็จะกลายเป็นผู้ส่งออกน้ำมันอันดับ 2 ของโลก หรือประมาณ 5 ล้านบาร์เรลต่อวัน เป็นรองเพียงแค่ซาอุดีอาระเบียเท่านั้น ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของทรัมป์ในการให้สหรัฐมีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้นในธุรกิจพลังงาน ส่วนนโยบายการถอนสหรัฐออกจากข้อตกลงปารีส จะกระทบโครงการกลุ่มพลังงานหมุนเวียน โซลาร์ ลม และเชื้อเพลิงทดแทน ก็ต้องชะลอการลงทุนในสหรัฐ แต่จะสวนทางทำให้ราคาสูงขึ้น ส่วนการให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐกลับเข้าไปทำงานอย่างเต็มรูปแบบและการลดการอุดหนุนรถไฟฟ้า EV จะทำให้เกิดความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นในสหรัฐ เพราะฉะนั้นในระยะสั้นจะส่งผลให้ Demand เพิ่มขึ้นทันที

อย่างไรก็ตาม จากการติดตามสถานการณ์ในตลาดราคาน้ำมันจะเห็นได้ว่า จากการคาดการณ์ของนโยบายทรัมป์ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567 ราคาน้ำมันอยู่ที่ประมาณ 70 เหรียญต่อบาร์เรล ปรับเพิ่มขึ้นมาในช่วงเช้าวันนี้ (21 ม.ค. 68) ประมาณ 80 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งทรัมป์จะต้องหาทางพยุงราคา (Maintain)ให้ไม่ต่ำกว่า 40 เหรียญต่อบาร์เรล เพราะกำลังการผลิตของสหรัฐมีต้นทุนราว 40 เหรียญต่อบาร์เรล ถ้าต่ำกว่า 40 เหรียญแน่นอนว่า “ไม่คุ้มและขาดทุน”

“นโยบายของทรัมป์จะมีแนวโน้มเป็นบวกต่อ BAFS เช่น โครงการลงทุนท่อขนส่งน้ำมัน การที่ทรัมป์สนับสนุนธุรกิจแก๊สจะทำให้ Cycle ของธุรกิจยืดระยะเวลาการใช้งานการลงทุนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ราคาน้ำมันในบ้านเราอาจจะไม่ถูกลงไปมากกว่านี้ ก็จะเป็นผลบวก เพราะทำให้ผู้ค้านำมันคำนวณต้นทุนโลจิสติกส์อย่างเข้มงวด ถ้าราคาน้ำมันถูกลงมาก ๆ อาจจะใช้รถบรรทุกน้ำมันขึ้นภาคเหนือแทนการใช้ท่อส่งน้ำมัน เพราะมีต้นทุนที่ถูกกว่า” ม.ล.ณัฐสิทธิ์กล่าว

จับตาเก็บภาษี US CBAM

รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน ที่ปรึกษาบริษัทอินเทลลิเจนท์ รีเสิร์ช คอนซัลแตนท์ (IRC) จำกัด กล่าวว่าทรัมป์ไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องของการปล่อยคาร์บอน แต่ให้ความสำคัญเรื่องธุรกิจน้ำมัน-ก๊าซ เพราะฉะนั้นกลุ่มอุตสาหกรรมในประเทศไทยที่ยังไม่ได้ปรับตัวเรื่องการปล่อยคาร์บอนก็ยังมีโอกาสส่งไปสหรัฐต่อ แต่อย่างไรก็ตาม ทรัมป์มีแผนที่จะเก็บ “US CBAM” ในปี 2569 ถึงจะไม่สนใจการปล่อยคาร์บอน แต่กฎหมายได้ออกมาแล้ว อาจจะเก็บด้วยเหตุผลที่ต้องการปกป้องประเทศจากการนำเข้าสินค้าและสอดคล้องกับมาตรการการเก็บภาษีของทรัมป์ และแม้ US CBAM เริ่มเก็บพร้อม ๆ กับ EU CBAM แต่ผู้ประกอบการไทยอย่าเพิ่งดีใจว่าทรัมป์ไม่สนใจการปล่อยคาร์บอน แต่กฎหมายยังมี ดังนั้น ก็ต้องปรับการดำเนินธุรกิจ ซึ่งประเทศไทยกับอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ควรจะเดินตามแผนการลดก๊าซเรือนกระจกให้เร็วขึ้นกว่าปัจจุบัน