
อัพเดตล่าสุด 27 ม.ค.68 เวลา 11.10 น.
“น้ำมัน” ถือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทหนึ่งที่จำเป็นต้องกำหนดราคาขายตามราคาตลาดเหมือนสินค้าโภคภัณฑ์ชนิดอื่น ดังนั้นจึงมีการอ้างอิงราคาโดยตลาดซื้อขายน้ำมัน ซึ่งประเทศไทยได้มีการอ้างอิงราคาน้ำมันสำเร็จรูปตามตลาดสิงคโปร์ ที่เป็นราคาสะท้อนสภาพตลาด ภาวะอุปสงค์ และอุปทานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่หลังจากที่ “นายทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศในเวทีปราศรัยทางการเมือง โดยใจความระบุว่า เสนอให้ประเทศไทย “ยกเลิกอ้างอิงราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์” เพื่อทำให้ราคาน้ำมันในประเทศถูกลง กลับเป็นกระแสและจุดประเด็นร้อนขึ้นอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี แนวคิดยกเลิกอิงราคาน้ำมันสิงคโปร์สอดคล้องกับหนึ่งภารกิจที่ “นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่เคยให้คำมั่นสัญญาว่าจะเดินหน้าทำให้สำเร็จ โดยในช่วงเดือนมกราคม 2568 ที่ผ่านมา รัฐมนตรีพลังงานกล่าวว่า ได้ร่างกฎหมายกำกับการประกอบกิจการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเสร็จเรียบร้อยแล้ว และอยู่ในขั้นตอนตรวจสอบแก้ไขต้นร่าง
“ซึ่งกฎหมายนี้จะมีกติกาที่ไม่ให้ปรับราคาน้ำมันขึ้นลงรายวัน มีระบบพิสูจน์ต้นทุน และยกเลิกการอ้างอิงราคาน้ำมันที่ตลาดสิงคโปร์ โดยนำระบบต้นทุนบวกค่าใช้จ่ายจริง ที่เรียกว่า ระบบ Cost Plus ซึ่งเป็นการคำนวณราคาน้ำมันตามต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่แท้จริง มาใช้แทนระบบอ้างอิงราคาน้ำมันตลาดสิงคโปร์ โดยเชื่อมั่นว่ากฎหมายฉบับนี้จะสร้างความเป็นธรรมให้แก่ทุกฝ่าย”
โดยประชาชนจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ได้ใช้น้ำมันในราคาที่อิงจากต้นทุนน้ำมันที่แท้จริง ลดภาระการขึ้นลงของราคาน้ำมันรายวัน และหลุดพ้นจากความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก ด้านผู้ประกอบการก็ไม่ขาดทุน ขณะที่ภาครัฐก็สามารถเข้าไปกำกับดูแลราคาน้ำมันได้
TDRI หนุนยกเลิกตัดภาษีซับซ้อน
ดร.อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการด้านนโยบายพลังงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) “เห็นด้วย” และสนับสนุนแนวคิดที่เสนอให้ไทยยกเลิกอ้างอิงราคาน้ำมันจากตลาดสิงคโปร์ ซึ่งไทยอ้างอิงราคาน้ำมันจากตลาดสิงคโปร์มาเป็นระยะเวลานานแล้ว โดยให้เหตุผลว่าสิงคโปร์มีทำเลที่ตั้งเป็นศูนย์กลางทางการค้าและเรือบรรทุกน้ำมัน ประกอบกับสิงคโปร์มีโรงกลั่นน้ำมันจำนวนมาก แต่ใช้ในประเทศน้อย จึงทำให้มีการส่งออกน้ำมันเป็นอันดับต้น ๆ ทำให้ตลาดที่สิงคโปร์เป็นตลาดที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง และราคาเป็นไปตามกลไกตลาด จึงทำให้ประเทศแถบภูมิภาคเอเชียอ้างอิงราคาน้ำมันจากตลาดสิงคโปร์เป็นหลัก
ในขณะที่ไทยไม่มีความจำเป็นจะต้องอ้างอิงราคาน้ำมันจากตลาดสิงคโปร์ที่มีการบันทึกค่าขนส่งทางเรือ ค่าประกันภัยการเดินทางและค่าปรับคุณภาพน้ำมัน ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกิดขึ้น เนื่องจาก “โรงกลั่นไทยสามารถกลั่นน้ำมันได้เองเกือบ 100%” ดังนั้น หากรัฐบาลเข้ามากำหนดระบบราคาต้นทุนของโรงกลั่นในประเทศไทยอย่างเหมาะสม คำนึงถึงต้นทุนการกลั่นของแต่ละโรงกลั่น จะส่งผลดีกว่าการอิงราคาสิงคโปร์ และจะตัดส่วนที่ไม่ได้เกิดขึ้นลงได้ราว 1-2 บาทต่อลิตร
ขณะเดียวกันต้องพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันใหม่ เพื่อลดการเก็บค่าใช้จ่ายที่ซ้ำซ้อน ซึ่งเมื่อพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันเปรียบเทียบตัวอย่าง เช่น ราคาน้ำมันที่เติมที่ปั๊ม 100 บาทต่อลิตร เป็นต้นทุนราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นประมาณ 20 บาท ถูกคิดค่าภาษี เช่น ภาษีท้องถิ่น (ภาษีเทศบาล) ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มประมาณ 30% และอีก 5% จะเข้าเป็นเงินอุดหนุนกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและเงินอุดหนุนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ส่วนที่เหลือจะเป็นค่าการตลาด หากทำได้จะทำให้ราคาน้ำมันในประเทศถูกลงอย่างชัดเจนและทันทีด้วย
เปิดโควตาส่งออกน้ำมัน
อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลไทยกำหนดราคาน้ำมันต่ำกว่าราคาตลาดสิงคโปร์ โรงกลั่นอาจจะเลือกส่งน้ำมันไปขายในตลาดสิงคโปร์เพื่อให้ได้ในราคาที่สูงกว่า หรือผู้ค้าน้ำมันในไทยหาซื้อน้ำมันจากโรงกลั่นไปขายให้กับตลาดสิงคโปร์ ซึ่งอาจจะส่งผลให้น้ำมันในไทยขาดแคลนได้ ในทางกลับกันหากรัฐบาลไทยกำหนดราคาในไทยสูงกว่าตลาดสิงคโปร์ ผู้ค้าน้ำมันอาจจะหันไปนำเข้าน้ำมันจากตลาดสิงคโปร์แทน จึงเสนอให้มีการ “กำหนดโควตาการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปของโรงกลั่น” เพื่อป้องกันการส่งออกน้ำมันไปค้ากำไรในต่างประเทศและเพื่อให้มีน้ำมันเพียงพอในประเทศ อาจจะใช้มาตรการจำกัดโควตา เช่น หากโรงกลั่นผลิตน้ำมันได้ 10 ลิตร ควรจะขายในประเทศอย่างต่ำ 6-7 ลิตร และสามารถส่งออกในราคาในตลาดโลกได้ 3 ลิตร
“การอ้างอิงราคาน้ำมันสิงคโปร์ควรจะยกเลิก เพื่อที่จะทำให้ไทยไม่ต้องจ่ายในสิ่งที่ไม่ควรจ่าย ดังนั้นรัฐบาลจะต้องเข้าไปศึกษาและทำการบ้านอย่างหนัก ในการคิดต้นทุนอย่างเป็นธรรมและเหมาะสม เพราะไทยยังไม่เคยมีระบบราคาน้ำมันเป็นของตัวเองมาก่อน ขณะเดียวกันต้องพิจารณาโครงสร้างการเก็บภาษีน้ำมันที่มีการเก็บภาษีซ้ำซ้อน เพื่อที่จะหาแนวทางการปรับไม่ให้เป็นภาระของประชาชน ถ้าทำได้จะทำให้ราคาน้ำมันในประเทศถูกลงอย่างชัดเจนและทันทีด้วย”
ปตท.แจงไทยอิงราคาสิงคโปร์
ซึ่งก่อนหน้านี้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เคยชี้แจงถึงข้อเท็จจริงในประเด็น “ทำไมราคาน้ำมันไทยต้องอ้างอิงราคาจากสิงคโปร์” โดยระบุว่า ราคาเนื้อน้ำมันในประเทศไทยอ้างอิงราคาจากประเทศสิงคโปร์ โดยใช้หลักการกำหนดราคาแบบ Import Parity เพราะตลาดสิงคโปร์เป็นตลาดกลางในภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้ ราคาดังกล่าวไม่ใช่ราคา ณ โรงกลั่นสิงคโปร์ หรือราคาขายที่สถานีบริการน้ำมันสิงคโปร์ แต่เป็นราคาที่ผู้ค้าตกลงซื้อ-ขาย ผ่านตลาดกลางแห่งนี้ ซึ่งเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับอีกหลาย ๆ ประเทศในภูมิภาคนี้ เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันสิงคโปร์เชื่อถือได้ เพราะมีผู้ซื้อขายหลายร้อยราย รวมถึงตลาดน้ำมันสิงคโปร์สะท้อนกลไกตลาดจริง อ้างอิงราคาได้
ซึ่งหากเปรียบเทียบจะเห็นว่า ประเทศไทยมีโรงกลั่นน้ำมันจำนวน 6 แห่ง ได้แก่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC), บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC), บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP), บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP), บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (ESSO), บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) (SPRC) กำลังการกลั่นรวมราว 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน และมีข้อกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันต้องสำรองน้ำมันดิบ 6% ของปริมาณการจำหน่าย ขณะที่สิงคโปร์มีโรงกลั่นน้ำมันจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ โรงกลั่นของ ExxonMobil, โรงกลั่นของ Royal Dutch Shell และโรงกลั่นของ Singapore Refining ไม่มีข้อกำหนดในการสำรองน้ำมัน
วงการน้ำมันกังวล
ขณะที่แหล่งข่าวระดับสูงในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันกล่าวว่า “ยังคงมีความกังวล” เกี่ยวกับการยกเลิกการอ้างอิงราคาน้ำมันตลาดสิงคโปร์ โดยหันมาใช้ระบบอ้างอิงต้นทุนน้ำมันของไทย หรือ Cost Plus โดยในแง่ของผู้ทำธุรกิจค้าปลีกน้ำมันก็อยากได้ความชัดเจนและทิศทางจากทางภาครัฐ