
ฝุ่นมลพิษ PM 2.5 มาเร็วกว่าปกติ ทำกรุงเทพฯ-ปริมณฑล “แดง” ค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน ด้าน ม.เกษตรฯศึกษาฝุ่นมาจากการเผาชีวมวลเข้ามาเติมฝุ่นในเมือง จับตาภาคเหนือ 17 จังหวัดเข้าฤดูเผาข้ามแดน ด้าน “อนุทิน” สั่งผู้ว่าฯสกัดเผาโดยด่วน ขณะที่ “สภาลมหายใจเชียงใหม่” ห่วงเผาข้ามแดน
สถานการณ์ฝุ่นมลพิษ PM 2.5 กำลังทวีความรุนแรงขึ้น เริ่มจากการตรวจวัดค่าฝุ่น PM 2.5 ในเขตเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ปัจจุบันอยู่ในโซน “สีแดง” เป็นอันตรายต่อสุขภาพ (91 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตรขึ้นไป) ติดต่อกันเกือบ 1 สัปดาห์ ในขณะที่หลายจังหวัดค่าฝุ่น PM 2.5 อยู่ในโซนสีส้มหรือเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ (51-90 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร) และมีเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหา “ฝุ่น” อย่างเร่งด่วน โดยมีแผนรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองปี 2568 ไว้อยู่แล้ว
เปิดแผนฝุ่นปี 2568
แม้ว่าปัญหาฝุ่น PM 2.5 จะถูกกำหนดให้เป็น “วาระแห่งชาติ” มาตั้งแต่ปี 2562 แต่ปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นและมีค่าฝุ่นเกินมาตรฐานจนอยู่ในระดับมีผลกระทบต่อสุขภาพ (สีแดง) ติดต่อกันมาหลายเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 จะพบฝุ่น PM 2.5 เกินค่ามาตรฐานในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นอันดับแรก ต่อด้วยภาคกลางและภาคตะวันตก
และตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป จะพบฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ฝุ่น PM 2.5 เหล่านี้จะมีแหล่งกำเนิดมาจากไฟป่า, การเผาในพื้นที่เกษตร, หมอกควันข้ามแดน การจราจรและการขนส่ง, โรงงานอุตสาหกรรม ประกอบกับมีสภาพอุตุนิยมวิทยาในช่วงต้นปีที่ “ความกดอากาศสูง” จะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทย ทำให้อากาศปิด-ลมสงบ ยิ่งส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ฝุ่นละอองไม่ฟุ้งกระจายและเกิดการสะสมในพื้นที่เขตเมืองจนเกินค่ามาตรฐานมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ในแผนรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองปี 2568 กำหนดให้มีการเตรียมการรับมือล่วงหน้าให้เร็วขึ้น ด้วยการวิเคราะห์จัดทำพื้นที่เสี่ยงการเผา เสี่ยงฝุ่น (Risk Map) การควบคุมพื้นที่แบบมุ่งเป้ากลุ่มป่าแปลงใหญ่ ป่ารอยต่อไฟที่เผาไหม้ซ้ำซาก การยึดพื้นที่ที่มีปัญหาเพื่อยกระดับปฏิบัติการของภาครัฐแบบ “ข้ามเขตปกครอง” การบริหารไฟในพื้นที่เกษตรช่วงการเก็บเกี่ยวภายใต้การลงทะเบียน การให้รางวัลกับผู้ไม่เผาเพื่อสร้างแรงจูงใจ และต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด แบ่งเป็น
1) การจัดการไฟในป่า มีการกำหนดพื้นที่ป่าเป้าหมายเพื่อควบคุมพื้นที่ป่าแปลงใหญ่เสี่ยงเผาไหม้ 14 กลุ่มป่า (Cluster) ด้วยการบริหารเฝ้าระวังจัดการไฟแปลงใหญ่ที่ข้ามเขตป่า หรือเขตปกครอง มีการบูรณาการความร่วมมือของชุมชนรอบป่ากับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ได้รับการจัดสรรงบประมาณในการควบคุมไฟป่า
2) พื้นที่เกษตรกรรม มีเป้าหมายเพื่อควบคุมพื้นที่เผาไหม้จากการเผาตอซังข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และอ้อยโรงงาน ด้วยระบบการขึ้นทะเบียนรายชื่อเกษตรกรและจำนวนพื้นที่ที่ยังมีความจำเป็นต้องใช้ไฟ การย่อยแปลง การไม่เผาข้ามคืน และมีการจัดทำแนวกันไฟ พร้อมกับดำเนินมาตรการเชิงรุกกับเกษตรกรในที่ดินที่รัฐจัดสรรให้โดยพิจารณา “ติดสิทธิ” ความช่วยเหลือหรือชดเชยต่าง ๆ จากภาครัฐ อาทิ ไม่ให้สิทธิ หรือเพิกถอนสิทธิ ส.ป.ก./นิคมสหกรณ์การเกษตรกับเกษตรกรที่ไม่ให้ความร่วมมือในการหยุดเผา
3) การควบคุมฝุ่นละอองในเขตเมือง มีการออกประกาศห้ามรถบรรทุกขนาดใหญ่เข้ามาในเขตเมืองในช่วงวิกฤตฝุ่นละออง การสนับสนุนให้ประชาชนเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะ (รถเมล์/รถไฟฟ้า เพื่อลดจำนวนรถส่วนบุคคลบนท้องถนน) ควบคุมการตรวจจับรถควันดำ ควบคุมพื้นที่ที่มีการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรมจะบังคับใช้กฎหมายกับโรงงานอุตสาหกรรม/โรงไฟฟ้า ในกิจการเผาถ่าน หลอมโลหะ เตาเผาขยะ และการควบคุมการเผาในชุมชนและริมทางทั่วประเทศ
4) การจัดการหมอกควันข้ามแดน โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ จะจัดให้มีการหารือระดับรัฐมนตรีเพื่อยกระดับความร่วมมือป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนในอนุภูมิภาคแม่โขงและภูมิภาคอาเซียนก่อนเข้าสู่ช่วงฤดูหมอกควันข้ามแดน
ขึ้นรถไฟฟ้าฟรี 7 วันลดฝุ่น
สำหรับสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 มีรายงานจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) เข้ามาว่า ทุกเขตของกรุงเทพมหานคร (24 มกราคม 2568) มีค่าฝุ่น “สีแดง” หรือส่งผลกระทบต่อสุขภาพและระบบทางเดินหายใจ ส่วนในภาพรวมของประเทศ ฝุ่น PM 2.5 พบ “สีแดง” มากกว่า 20 จังหวัด และพบ “สีส้ม” เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพกระจายอยู่ในหลายพื้นที่ นอกจากนี้ สถานีตรวจวัดอุตุนิยมวิทยาใกล้ผิวดินและมลสารทางอากาศ (KU TOWER) ยังพบว่า
มีฝุ่นจากข้างนอกที่มาจากการเผาชีวมวลเข้ามาเติมฝุ่นในเมืองที่เกิดจากการจราจรและการขนส่ง ส่งผลให้ค่าฝุ่น PM 2.5 ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล “เกินกว่า” ค่ามาตรฐานหรือเป็นสีแดงด้วย “ทางกระทรวงมหาดไทยได้เรียกประชุม กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภช.) พร้อมประชุมผู้ว่าราชการ 17 จังหวัดภาคเหนือ เพื่อเตรียมพร้อมรับฤดูกาลฝุ่นที่จะเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี
โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีข้อสั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดและนายอำเภอทั่วประเทศให้พิจารณาออกมาตรการ “สกัดการเผา” ทั้งในส่วนพื้นที่ทางการเกษตรและขยะมูลฝอย ซึ่งเป็นต้นตอสำคัญของการเกิดฝุ่น PM 2.5 ทันที”
ด้านนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้ประชาชนสามารถเดินทางด้วยการขึ้นรถไฟฟ้าและรถเมล์ ขสมก. “ฟรี” ระหว่างวันที่ 25-31 มกราคม 2568 เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 และหลังจากนั้นจะมาประเมินต่อว่า ควรต่อจำนวนวันขึ้นรถขนส่งสาธารณะฟรีต่อไปหรือไม่ โดยได้ประสานกับกลุ่ม BTS บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ว่า รัฐบาลจะจ่ายเงินชดเชยในส่วน 7 วันนี้โดยใช้ “งบฯกลาง” ประมาณ 140 ล้านบาท
และกระทรวงคมนาคมจะตั้งจุดตรวจรถควันดำ 8 จุดทั่วกรุงเทพฯ เพื่อลดควันดำที่หน้าฟิวเจอร์พาร์ครังสิต, ท่าเรือคลองเตย, หน้าสวนจตุจักร, บางนา กม.1, ถนนสุวินทวงศ์หน้าประปามีนบุรี, ถนนพระราม 2 หน้าแขวงการทางพิเศษ บางขุนเทียน, ถ.รังสิต-นครนายก และถนนบรมราชชนนีขาเข้า-ออกด้วย
บีบ รง.น้ำตาลไม่รับอ้อยเผา
สำหรับการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมในส่วนของอ้อยโรงงานนั้นปรากฏ ทางกระทรวงอุตสาหกรรมได้สั่งปิดโรงงานน้ำตาลของบริษัท น้ำตาลไทยอุดรธานี ที่ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี หลังจากพบว่าโรงงานน้ำตาลแห่งนี้มีการรับอ้อยเผาเข้าหีบสะสมสูงสุดจากโรงงานน้ำตาลทั้งหมด 58 แห่งทั่วประเทศ หรือคิดเป็นร้อยละ 43.11 ของปริมาณอ้อยทั้งหมด หรือกว่า 410,000 ตัน โดยเทียบเท่ากับการเผาป่ากว่า 41,000 ไร่ ส่งผลให้จังหวัดอุดรธานีกลายเป็นจังหวัดที่มีสัดส่วนการรับอ้อยเผา ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของฝุ่น PM 2.5 ในภาคการเกษตรเข้าหีบสูงสุด
ด้านนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า การปิดโรงงานน้ำตาลไทยอุดรฯถือเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจสำคัญของรัฐบาลที่จะช่วยกันลดฝุ่น PM 2.5 โดยวันนี้ตัวเลขการเผาอ้อยต่ำที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ จากตั้งเกณฑ์ 25% ตอนนี้เหลืออยู่ 11% เท่านั้น โดยตัวเลขอ้อยเข้าหีบล่าสุด ณ วันที่ 22 มกราคม 2568 จำนวน 40,911,920.410 ตัน ในจำนวนนี้เป็นหีบอ้อยเผาไฟสะสม 7,220,272.405 ตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 17.65 ส่วนหีบอ้อยสดสะสม 33,691,648.005 ตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 82.35 นับเป็นความพยายามของกระทรวงอุตสาหกรรมที่รณรงค์ลดการเผาอ้อยส่งเข้าโรงงานน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง
ส่วนมาตรการช่วยเหลือชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 ฤดูการผลิตปี 2567/68-2569/70 ด้วยการขอรับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลวงเงิน 7,000 ล้านบาท ของกระทรวงอุตสาหกรรม ในการรับซื้อใบและยอดอ้อยเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบด้านพลังงานป้อนโรงไฟฟ้าชีวมวลหรือโรงงานที่ใช้ไฟฟ้าชีวมวลนั้น ล่าสุดมีรายงานเข้ามาว่ายังไม่มีการพิจารณามาตรการนี้ใน ครม.แต่อย่างใด
รถเครื่องยนต์ดีเซลยังสูง
อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันดีว่า ต้นตอสำคัญของปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในระบบขนส่งนั้นมาจากรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปโดยเฉพาะอย่างยิ่ง รถที่ใช้น้ำมันดีเซล โดยผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานยอดจดทะเบียนรถยนต์สะสม ประเภทเครื่องยนต์ดีเซล ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2567 ของประเทศไทย พบว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 12,760,420 คัน แบ่งตามประเภทการใช้งานพบว่า ประเภท ก. รวมรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ จำนวน 11,693,739 คัน
โดยแยกย่อย ตามประเภทรถในกลุ่มเครื่องยนต์ดีเซลที่มียอดจดทะเบียนสะสมพบว่า เป็นรถยนต์ประเภท รย.1 รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน จำนวน 3,767,584 คัน, รย.2 รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน จำนวน 391,791 คัน, รย.3 รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล จำนวน 6,743,877 คัน, รย.4 รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล จำนวน 3 คัน
รย.6 รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน จำนวน 692 คัน, รย.8 รถยนต์รับจ้างสามล้อ จำนวน 9 คัน, รย.9 รถยนต์บริการธุรกิจจำนวน 1,585 คัน, รย.10 รถยนต์บริการทัศนาจร จำนวน 2,171 คัน, รย.11 รถยนต์บริการให้เช่า จำนวน 28 คัน, รย.13 รถแทร็กเตอร์ จำนวน 658,536 คัน, รย.14 รถบดถนนจำนวน 16,783 คัน, รย.15 รถใช้ในงานเกษตรกรรม จำนวน 110,313 คัน, รย.18 รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์จำนวน 367 คัน
และประเภท ข. รวมรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก จำนวน 1,066,681 คัน แบ่งเป็น รวมรถโดยสารจำนวน 101,396 คัน, รวมรถบรรทุก จำนวน 965,028 คัน และรวมรถขนาดเล็ก จำนวน 257 คัน
ฝุ่นยังไม่กระทบ ศก.
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ในตอนนี้เชื่อว่า “ยังไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในประเทศ” จากการติดตามและประเมินมองว่า ปัญหาฝุ่น “ยังไม่รุนแรง” สถานประกอบการและสถาบันการศึกษายังมีมาตรการเข้ามาดูแลด้วยการประกาศการเรียนออนไลน์-ออฟไลน์ การดำเนินงานสามารถใช้หน้ากากอนามัยในการใช้ชีวิตได้
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ว่า ฝุ่น PM 2.5 ที่เกินค่ามาตรฐานในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลเกินกว่าสัปดาห์จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการดำเนินชีวิตประจำวัน จากการประเมินเบื้องต้นโดยใช้สมมุติฐานว่า คนกรุงเทพฯป่วยเป็นโรคภูมิแพ้/ระบบทางเดินหายใจไม่ต่ำกว่า 2.4 ล้านคน ในจำนวนนี้ 50% ต้องเดินทางไปพบแพทย์อย่างน้อย 1 ครั้ง/1 เดือน ปรากฏจะมีค่าใช้จ่ายระหว่าง 1,800-2,000 บาท ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพ ค่าเสียโอกาสจากประเด็นสุขภาพและการรักษา-การป้องกันอยู่ประมาณ 3,000 ล้านบาท
สภาลมหายใจ ชม.เคลื่อนไหว
ส่วนสถานการณ์การเผาข้ามแดนในจังหวัดภาคเหนือที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไปนั้น นายชัชวาลย์ ทองดีเลิศ ประธานสภาลมหายใจเชียงใหม่ กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า “สภาลมหายใจเชียงใหม่” ได้เตรียมแผนแก้ปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 ปี 2568 ของจังหวัดเชียงใหม่ ในหลายประเด็นเพื่อนำเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาต่อรัฐบาล ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ประเด็นฝุ่นควันข้ามแดน โดยตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้นำเสนอหลายมาตรการต่อภาครัฐมาอย่างต่อเนื่อง
แต่สิ่งที่เห็นคือ รัฐไม่เอาจริงในเรื่องนี้ ทั้งที่ประเด็นฝุ่นควันข้ามแดนถูกบรรจุอยู่ใน ASEAN Agreement ว่าต้องมีเป้าหมายในการลดฝุ่นควันจากการเผาข้ามแดน ซึ่งจนถึงวันนี้รัฐบาลก็ยังไม่มีแผนชัดเจนต่อปัญหาดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ (2568) สภาลมหายใจเชียงใหม่จะยังคงผลักดันปัญหาฝุ่นควันข้ามแดนอย่างต่อเนื่อง โดยขอเสนอมาตรการต่อรัฐบาล ดังนี้ 1) ให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการระดับภูมิภาคอาเซียน ซึ่งมีองค์ประกอบของหน่วยงานแต่ละประเทศมีส่วนร่วมในคณะกรรมการชุดนี้ มิใช่มีเพียงหน่วยงานภาครัฐเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่จำเป็นต้องมีภาคประชาชนเป็นคณะกรรมการร่วมด้วย เพื่อให้มีพลังผลักดันที่เข้มแข็งมากขึ้น รวมถึงควรต้องมีภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นควันเข้ามาร่วมส่งเสียงผลักดัน ซึ่งจะทำให้เกิดพลังการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
2) ต้องมีการออกมาตรการและนโยบายเข้มข้นจริงจังสำหรับนักลงทุนไทยที่เข้าไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารสัตว์, อุตสาหกรรมน้ำตาล ที่ต้องมีการตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของวัตถุดิบที่นำเข้ามาในประเทศว่ามาจากแหล่งพื้นที่เผาไหม้หรือไม่
3) หากมีการรับซื้อวัตถุดิบข้ามแดน อาทิ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หรือวัตถุดิบใด ๆ ที่นำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นพื้นที่เผา รัฐบาลควรใช้มาตรการด้านภาษีหรือภาษีมลพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มเพดานการเก็บภาษีด่านนำเข้าให้สูงขึ้น เพราะที่ผ่านมาไม่มีการเก็บภาษี ซึ่งผู้ก่อมลพิษต้องรับผิดชอบ โดยเงินจากการเก็บภาษีมลพิษควรต้องนำเข้ากองทุน พ.ร.บ.อากาศสะอาด ที่กำลังจะออกมาบังคับใช้ราวกลางปี 2568 ถือเป็นเครื่องมือใหม่ที่จะเป็นกลไกสำคัญในการแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน PM 2.5 อย่างยั่งยืน