
นักวิชาการวิศวะเกษตร ไขข้อสงสัย ทำไมเกษตรกรเลือกวิธีเผาอ้อยแทนการใช้เครื่องจักร มาตรการที่ใช้ในตอนนี้สร้างความจูงใจไม่พอ แนะการจัดการขั้นเด็ดขาดต้องใช้กฎหมายควบคุม
ผศ.ดร.ขวัญตรี แสงประชาธนารักษ์ อาจารย์สาขาวิศวกรรมเกษตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ไขข้อสงสัยเรื่องการเผาอ้อยของเกษตรกร 1 ในแหล่งกำเนิดฝุ่น PM 2.5 ที่กำลังวิกฤตในไทยตอนนี้ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Khwan Saeng ข้อความระบุว่า
“ในฐานะที่เติบโตมาในโรงงานผลิตเครื่องจักรกลเกษตรในจังหวัดที่มีไร่อ้อยเยอะมาก ๆ จนต่อมาได้ทุนรัฐบาลญี่ปุ่นไปเรียนต่อ แล้วเลือกไปที่ okinawa เพราะอยากจะทำรถตัดอ้อยขนาดเล็กช่วยชาวไร่จะได้ไม่ต้องเผา
จนกลับมาเป็นอาจารย์ที่สาขาวิศวกรรมเกษตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ตั้งแต่เริ่มทำงานจนปัจจุบันก็ยังทำวิจัยเกี่ยวกับเครื่องจักรกลเกษตรในไร่อ้อยมาตลอด 14 ปี วันนี้ขอมาตอบคำถามที่หลายคนที่ไม่คุ้นเคยกับอ้อยสงสัยว่า “ทำไมต้องเผาอ้อย” เท่าที่ตัวเองมีความรู้ที่จะตอบได้นะคะ
ทำไมถึงเผาอ้อยก่อนตัด ?
1. ไม่เผาแล้วคนงานไม่ตัด หญ้ารก มีหมามุ่ย ใบอ้อยบาดตัว ขนใบอ้อยเข้าตา ต้องสางใบอ้อย ใช้เวลานานขึ้น 3-4 เท่า บางทีมีเงินจ้างก็หาแรงงานมาตัดไม่ได้
2. ค่าจ้างแรงงานตัดอ้อยกอง 100 ลำ ค่าตัดอ้อยสด 15-18 บาทต่อกอง แต่ถ้าตัดอ้อยเผา 5 บาทต่อกอง ต้นทุนต่างกันถึง 3 เท่า ส่วนต่างคิดเป็น 10-15% ของราคาอ้อย
3. เจ้าของแปลงเล็ก ๆ ไม่มีแรงงาน ไม่มีรถตัดอ้อย ต้องขายเหมาแปลง หรือให้โควตารายใหญ่มาตัดให้ ไม่มีอำนาจต่อรอง บางทีไม่ยินยอมก็โดนลักลอบจุดไฟเผา ซึ่งถ้าอ้อยถูกเผาแล้วต้องรีบตัดไม่งั้นจะเน่า ต้องส่งโรงงานภายใน 24 ชม. เลยเหมือนถูกบังคับขายไปด้วย
4. พ่อค้าอ้อยซื้อเหมาอ้อย บางคนมีความคิดว่าต้องลดต้นทุนให้มากที่สุด ไม่งั้นก็ให้ราคาซื้ออ้อยสูงสู้คนอื่นไม่ได้ เจ้าของแปลงก็ไปขายคนอื่นที่ให้ราคาดีกว่า
5. คนตัดไม่ใช่เจ้าของแปลง เจ้าของแปลงไม่มีกำลังพอจะตัดเอง กลายเป็น การตัดเลยอยู่บนแนวคิดที่ “ทำให้ต้นทุนต่ำที่สุด” ไม่สนใจเรื่องอินทรีย์วัตถุในดินในระยะยาว ไม่ได้สนใจเรื่องระบบนิเวศแมลงในแปลงถูกทำลาย (แปลงที่เผาจะมีปัญหาแมลงศัตรูพืชมากกว่าแปลงที่ไม่เผา เพราะไม่มีแมลงอื่นเหลือรอดมาช่วยจำกัดประชากร) เจ้าของแปลงต้องยอมอย่างเดียว
ใช้เครื่องจักรแทน ?
6. อ้อยเป็นพืชที่โตเป็นกอ จะตัดโคน+แยกใบออกจากลำได้ ต้องสับ และต้องเป่าแยกใบหลายรอบ เจออ้อยล้มก็ต้องจัดให้มันตั้งขึ้นมาได้ด้วย จะทำงานได้งานดี ทันเวลา กำลังต้องพอ เครื่องจักรต้องใหญ่
7. รถตัดอ้อยใหญ่ที่ทำได้ครบกระบวนการ ราคา 12 ล้าน ส่วนรุ่นกลาง ๆ หรือมือสอง ราคาประมาณ 5-6 ล้าน มาพร้อมข้อจำกัดและการตัดที่ช้าลง
8. รถตัดใหญ่จะเข้าได้ แปลงต้องไม่มีคันนา (ที่เช่าที่เป็นที่นาเดิมหมดสิทธิ) ระยะระหว่างแถวต้องกว้าง ต้องมีถนนดีเข้าถึงได้ ไม่ต้องเป็นลาดยางก็ได้ ขอแค่ไม่มีหล่มทราย หล่มโคลน ไม่งั้นเข้าไปแล้วเกิดติดหล่มขึ้นมา ต้องเอาแบ็กโฮมาฉุด เสียเวลาทั้งวัน รายได้หายเป็นครึ่งแสน
9. เปิดแปลงใหม่ทีหมดไปครึ่งวัน (การทำแปลงให้รถสิบล้อเข้าไปขนอ้อยได้) ต้องตัด ๆ ถอย ๆ เพื่อทยอยเอาอ้อยมาใส่รถบรรทุกที่จอดนอกแปลง ต้องตัดแบบ super slow ไปแบบนี้ 4 แถว รถบรรทุกถึงจะเข้าไปวิ่งขนาบรถตัดรับอ้อยในแปลงได้ ถ้าไม่ทำแบบนี้ เจ้าของแปลงก็ต้องหาแรงงานมาตัดเปิดแปลงให้
เพราะแบบนี้ แปลงเล็ก ๆ ไม่ต้องเรียก รถตัดใหญ่ไม่ไปจ้า เสียเวลาเปิดแปลง เสียเวลากลับเลี้ยวรถ เสี่ยงเจอหิน เจอตอไม้ เสี่ยงรถติดหล่ม ถ้าทำยอดไม่ได้ เงินไม่พอไปผ่อนรถอีก (ผ่อนรถตัดปีละ 2 ล้าน ควรจะตัดให้ได้ปีละ 20,000 ตัน หรือวันละ 200 ตัน)
ใช้เครื่องจักรเล็ก ๆ ?
เครื่องมือมีเยอะ นักวิจัย และหลายบริษัททำกันเยอะมาก ทาง สอน. (สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กระทรวงอุตสาหกรรม) มีโครงการให้ยืมเครื่องสางใบด้วย
แต่เวลานี้ต้องกราบใจคนขับรถไถติดเครื่องสางใบ ต้องขับรถไถเปิดประทุน แทรกตัวไปในป่าอ้อยแล้วให้เส้นในลอนตีใบจนขาดกระจายลอยฟุ้งแบบมองอะไรไม่เห็น ทั้งฝุ่นทั้งร้อน ขนใบอ้อย เศษใบอ้อย เข้าหน้าเข้าตาเข้าคอ ชาวไร่หลายคนยอมทำ
ขับลุยมาครึ่งทาง อนิจจาเจออ้อยล้มกลางแปลง ไปต่อไม่ได้ จบกันที่ทนมา หาจ้างคนมาตัดเหมือนเดิม จ้างตอนนี้จ่าย 300 บาท ไม่มาแล้วด้วย ถ้าไม่เพิ่มเงิน กลางคืนก็ต้องมีเหล้าขาวล่ะ ถ้าโชคดีสางใบเสร็จ ก็มาใช้เครื่องตัดวางราย หรือเครื่องตัดรวมกองต่อ แล้วก็ต้องใช้รถคีบมาคีบลงรถบรรทุก พร้อมคนเรียงอ้อยอีก 2 คนบนรถ
สรุปว่าใช้คนเยอะเกือบจะพอ ๆ กับใช้คนตัดทั้งหมด แต่ดีหน่อยที่ไม่ต้องใช้แรงเยอะเท่า เครื่องทุนแรงได้บ้างไม่ว่าจะใช้วิธีไหนในการตัดอ้อยสด ต้นทุนก็ไม่มีทางต่ำกว่า “ไฟแช็ก ราคา 6 บาท” ไปได้ ถ้ามองในแง่ต้นทุนอย่างเดียว ตัดอ้อยสดแพ้กระจุย
แน่นอนว่า ต้นทุนการตัดอ้อยไฟไหม้ที่ราคาถูกกว่า แลกมาด้วยการเสียอินทรีย์วัตถุในดิน เสียค่าปุ๋ยมากขึ้น ผลผลิตอ้อยตอปีต่อมาแย่ลง ไว้ตอได้น้อยลง ปัญหาแมลงและวัชพืชมากขึ้น และที่สำคัญคือการสร้างมลพิษ PM 2.5 จากการเผาในที่โล่ง
งั้นรอก่อน อย่าเพิ่งเผา ?
ทำไมต้องรีบ รอคิวรถตัด คนงานหาไม่ได้ก็ค่อย ๆ ทำไปเท่าที่ได้ อย่าเพิ่งเก็บเกี่ยว
11. โรงงานน้ำตาลเป็นโรงงานที่ใช้ระบบเครื่องจักรขนาดใหญ่ ใช้วงจรไอน้ำในการทำงาน เดินเครื่องทีแล้วต้องรันยาว ๆ ไม่หยุดไม่พัก ต้องให้มีอ้อยป้อนเข้าต่อเนื่อง เต็ม capacity ไม่งั้นขาดทุน เลยมีวันเปิดหีบ และวันปิดหีบ ชาวไร่ต้องขายอ้อยช่วงนี้เท่านั้น
12. อ้อยเป็นพืชไร่อายุยาว ตัดขายปีละครั้ง เหมือนเราทำงานบริษัทหนึ่งทุ่มเททำงานทั้งปี งานนี้จ่ายเงินเรารวบยอดปีละครั้งเดียวเท่านั้น ถ้ามีคนมาบอกว่า ส่งงานนี้ให้ทันวันนี้ ๆ นะ ถ้าส่งไม่ทัน เงินเดือนทั้งปีที่ผ่านมาจะสูญทั้งหมด แล้วมีอีกคนยื่นมือมาบอกว่าทำแบบนี้สิ ส่งงานทันแน่นอน ได้เงินแน่
ถึงจะรู้อยู่ว่าวิธีนั้นมันมีผลเสียยังไง ส่งผลต่อส่วนรวมยังไง ก็คงไม่แปลกถ้าจะมีคนหวั่นไหว เลือกทางผิดกันบ้าง ในเมื่อหันไปก็เจอลูกเมียและเจ้าหนี้!
ไม่ใช่ว่าอยากให้เห็นใจคนที่เผานะคะ การจงใจลักลอบเผาอ้อยนั้นผิดอย่างแน่นอน และมีชาวไร่อีกเยอะมาก ๆ เป็นส่วนใหญ่เลยที่เขาก็ใส่ใจและพยายามที่จะไม่เผามาตั้งนานแล้ว
แล้วเราต้องอยู่กับการเผาตลอดไป ?
คนในวงการอ้อยเขาก็ไม่ได้อยากอยู่กับการเผาตลอดไปหรอกค่ะ ชาวไร่ด้วยกันหลายคนก็เดือดร้อนมากจากไฟที่ลามมา ปัญหานี้มันจะต้องถูกแก้ เช่นมาตรการที่มีแล้วตอนนี้
- จำกัดการรับซื้ออ้อยไฟไหม้ ไม่เกิน 25% และลดลงเรื่อย ๆ
- ให้อ้อยสดได้คิวเทอ้อยก่อน อ้อยไฟไหม้ต้องรอ
- ให้เงินเพิ่ม/รางวัล อ้อยสดสะอาด ให้มีส่วนต่าง cover ต้นทุน ตรงนี้หลาย ๆ โรงงานให้เงินเพิ่มเอง
- เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับรถตัดอ้อย/โครงการให้ยืมเครื่องสางใบ
- การรับซื้อใบอ้อยมาผลิตพลังงาน
- การรวมกลุ่มเกษตรกรแปลงเล็กที่ติดกันเป็นแปลงใหญ่ ร่วมกันวางแผนปลูกอ้อยและวางแนวแถวไปทาง
- เดียวกัน เพื่อให้ตัดอ้อยด้วยรถตัดอ้อยได้
ที่ยังขาดอยู่และทำได้ยากมาก คือ การบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจัง กับการติดตาม จับกุม ปรับ ขัง คนที่จุดไฟวางเพลิง แล้วกรณีที่เจ้าของแปลงไม่ได้จุด แล้วจะไปตามจับคนที่จุดจริง ๆ ได้ยังไง ท่ามกลางความมืด และกลางป่าอ้อย ?? ในหลายพื้นที่มีการให้รางวัลนำจับ แต่ก็ช่วยได้บ้าง ไม่ได้บ้าง มีเรื่องของผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นมาเกี่ยวข้องก็มี
สรุปแล้ว การที่โรงงานรับซื้ออ้อยสดราคาสูงและไม่รับซื้ออ้อยเผา ช่วยลดการเผาก่อนตัดได้ แต่การเผาใบเคลียร์แปลงหลังตัด ยังคงจะเป็นปัญหาไปอีกสักพัก เพราะการรับซื้อใบอ้อยยังไม่ทั่วถึง และยังไม่คุ้มค่าในพื้นที่ที่ต้องขนส่งไกล
ใบอ้อยย่อยสลายยาก และเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่พร้อมจะติดไฟ ชาวไร่หลายรายเลือกจะสับกลบฝังลงดิน ถึงจะต้องแลกมาด้วยค่าแรง ค่าเครื่องมือและค่าน้ำมันไม่น้อย หลาย ๆ คนก็ยอมแลกเพื่อจะได้ไม่ต้องเผาอ้อย ไม่สร้างมลพิษ ได้เพิ่มอินทรีย์วัตถุ บำรุงดินให้อุ้มน้ำได้ดี
และยังมีชาวไร่อีกเยอะมากเลือกที่จะทิ้งใบไว้คลุมดินรักษาความชื้น และคุมวัชพืช แต่ก็ต้องมาแบกรับความเสี่ยงว่าไฟจะลามมาไหม้อ้อยตอนที่อ้อยงอกขึ้นมาแล้วหรือเปล่า เพราะนั่นหมายถึงเงินลงทุนที่ผ่านมาทั้งหมดจะสูญเปล่า ไม่เหลืออ้อยให้ขาย ยืนต้นตายเพราะไฟ
มีชาวไร่ต้นแบบอีกหลายท่านที่พยายามย่อยสลายใบอ้อย ด้วยการใช้น้ำหมักยูเรียฉีดพ่นช่วยเร่งการย่อยสลายใบอ้อยลงดิน ใช้แรงงานครัวเรือนทำกันเอง ใครอยู่ใกล้แหล่งน้ำก็ทำได้ง่ายหน่อย ใครอยู่ไกลแหล่งน้ำก็ยิ่งมีต้นทุนที่สูงขึ้น
การที่จะควบคุมต้นทุนผลผลิตเกษตรให้ต่ำ ไม่เคยเป็นเรื่องง่าย โดยเฉพาะในเวลาที่ค่าน้ำมันพุ่ง ค่าปุ๋ยแพงแบบปัจจุบัน แค่เรื่องใบอ้อยก็เป็นมหากาพย์ขนาดนี้
การจะแก้ปัญหานี้ได้ เรายังคงต้องช่วยกันหาทางสร้าง “มูลค่าเพิ่ม” ให้ใบอ้อย หาทางลดค่าขนส่งใบอ้อย ซึ่งทั้งมหาวิทยาลัยขอนแก่นและนักวิจัยจากหลายภาคส่วนมาก ๆ กำลังทำงานวิจัยด้านนี้อยู่ บางอย่างก็สำเร็จแล้วรอนำไปขยายสเกล บางส่วนก็เริ่มทดลองจริงในบางพื้นที่
นอกจากสร้างมูลค่าเพิ่มให้ใบอ้อยแล้ว ก็ต้องสร้างตลาดให้กับผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ด้วย อาจจะเป็นมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับบริษัทที่มีการใช้ผลิตภัณฑ์จากของเหลือทางการเกษตรที่ลดการเผา หรือถ้าเป็นผลิตภัณฑ์จากใบอ้อยที่ทำโดยวิสาหกิจชุมชน ก็สนับสนุนให้เป็นคูปองกับผู้ซื้อเลยก็ได้ค่ะ เหมือนคูปองดิจิทัลของกระทรวงดิจิทัลที่ได้ผลมาก
สิ่งสำคัญไม่แพ้กัน
- แผนงานที่ชัดเจนและต่อเนื่อง เป็นแผนที่แปลว่า “Action Plan” ที่บอกว่าหน่วยงานไหนต้องทำอะไร อย่างไร แค่ไหนในแต่ละปี (ตัวอย่างเช่นที่บราซิล รัฐ โรงงานและชาวไร่ 19,000 รายลงนามกันปี 2008 เพื่อจะแบนทุกกิจกรรมการเผาให้หมดสิ้นภายในปี 2017) “แผน” ที่ไม่ใช่แค่ยอดตัวเลขเป้าหมายแต่ไม่บอกว่าต้องทำยังไงให้ถึงเป้า
- กลไกการบังคับใช้กฏหมายที่จริงจังจากภาครัฐที่จริงใจ
- กลไกทางสังคม ชุมชนที่เข้มแข็งที่ทุกคนต้องมีจุดยืนร่วมกันว่า “ไม่เอาคนจุดไฟเผาใบอ้อย” ผ่านการจูงใจรูปแบบต่าง ๆ”