ปิดบัญชี-ล้างสต๊อก “จำนำข้าวยิ่งลักษณ์” 18 ล้านตัน TDRI ชี้ขาดทุนทะลุ 6.5 แสนล้านบาท “5 เสือส่งออก” แบ่งเค้กถ้วนหน้า 4 ล้านตัน “นครหลวง-เอเซียโกลเด้นท์ไรซ์” คว้าข้าวสต๊อกรัฐสูงสุด เอกชน 41 รายแห่ประมูลข้าวเสื่อมลอตสุดท้าย 2 ล้านตัน 14-15 มิ.ย.นี้ ราคาส่งออกหอมมะลิดีดทะลุ 1,450 เหรียญสหรัฐ
ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า หลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาบริหารประเทศเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ได้จัดการสต๊อกข้าวสารในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาถึง 18 ล้านตัน ซึ่งจนถึงเดือนพฤษภาคม 2561 ได้ระบายข้าวสารไปแล้ว 14,514,414.87 ตัน มูลค่า 131,299 ล้านบาท หรือเฉลี่ยตันละ 9,000 บาท ซึ่งขาดทุนจากต้นทุนโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตันละ 15,000 บาท หรือคิดเป็นต้นทุนข้าวสารตันละ 24,000 บาท
- เรือสิงคโปร์ชนสะพานในสหรัฐ มีประวัติไม่ดีมาก่อน เรารู้อะไรแล้วบ้างตอนนี้ ?
- หุ้นกู้ออกใหม่ 12 บริษัทแห่ขายเดือน เม.ย.นี้ จ่ายดอกเบี้ยสูงสุด 7.40%
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 1 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันการวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ประเมินผลล่าสุดคาดว่า เมื่อระบายข้าวสารในสต๊อกรัฐบาลครบทั้งหมดจะทำให้ขาดทุนไม่ต่ำกว่า 6.5 แสนล้านบาท เป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับผลวิจัยของทีดีอาร์ไอที่ได้เคยศึกษาในรอบที่ 2 เมื่อปี 2557 ที่มีการคำนวณผลกระทบเพิ่มในส่วนการจำหน่ายข้าวสารเสื่อมสภาพไม่ตรงตามมาตรฐานและข้าวหาย ทำให้ตัวเลขขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็น 6.6 แสนล้านบาท จากผลการวิจัยในรอบแรกที่คำนวณไว้ 5.4 แสนล้านบาท จากที่รัฐบาลใช้งบประมาณ 9.58 แสนล้านบาท ในการรับจำนำข้าว 54.4 ล้านตัน
“หากเทียบผลการวิจัยรอบที่ 2 ที่คำนวณรวมข้าวเสื่อมและข้าวหาย ถือเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับตัวเลขคาดการณ์ปิดบัญชีโครงการรับจำนำของกระทรวงการคลัง ที่ประเมินไว้ล่าสุดเมื่อเดือนกันยายน 2560 ซึ่งรวมการขายข้าวในสต๊อกที่ยังคงเหลือพบว่าขาดทุน 637,244 ล้านบาท ซึ่งยิ่งการระบายล่าช้า ความเสื่อมก็มากขึ้น ก็ยิ่งขายได้ราคาลดต่ำลง เช่น ข้าวที่ขายเป็นอาหารสัตว์เหลือ กก.ละ 2-3 บาทเท่านั้น”
ผู้ส่งออก-โรงสีแบ่งเค้ก
แหล่งข่าวจากวงการค้าข้าวเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในการประมูลข้าวสารในสต๊อกรัฐบาลช่วงที่ผ่านมา 14.5 ล้านตัน พบว่าผู้ประกอบการโรงสีเป็นผู้ชนะประมูล ประมาณ 3-4 ล้านตัน ขณะที่ผู้ส่งออกประมูลได้ไปประมาณ 10-11 ล้านตัน โดยผู้ชนะประมูลสูงสุดในกลุ่ม 5เสือส่งออก ได้แก่ กลุ่มนครหลวงค้าข้าว และแคปิตอลไรซ์ ประมูลได้ 1.7-2.0 ล้านตัน เอเซียโกลเด้นไรซ์ และไทยแกรนลักซ์ ปริมาณ 1.7-1.8 ล้านตัน พงษ์ลาภ 1.4-1.5 ล้านตัน ธนสรรไรซ์ 700,000-800,000 ตัน ส่วนกลุ่มโรงสีที่ชนะประมูล เช่น กลุ่มพิจิตรโรงสีร่วมเจริญ 2 ไรซ์ ปริมาณ 400,000-500,000 ตัน โรงสีเจริญผล จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ทำข้าวหอมมะลิ 180,000-200,000 ตัน และกลุ่มโรงสีทรัพย์อนันต์ ประมาณ 100,000 ตัน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ผู้ประกอบการที่ชนะการประมูลหลายราย ยังคงไม่สามารถรับมอบข้าวสารได้ครบเต็มจำนวน เนื่องจากพบว่าข้าวสารที่ประมูลมีคุณภาพไม่ตรงตามที่ประมูล หรือผิดสเป็ก ซึ่งบางรายพบปัญหาถึง 40-50% ของข้าวที่ประมูลไป ทำให้ต้องยื่นหนังสือถึงองค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) หามาตรการแก้ไขเป็นรายกรณี เช่น การขอขยายเวลารับมอบ หรือการรับมอบเฉพาะในส่วนที่ตรงสเป็ก เป็นต้น
“ขณะที่สถานการณ์ราคาข้าวในตลาดปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิส่งออกปรับขึ้นจากเดือนก่อนที่จำหน่ายตันละ 1,250 เหรียญสหรัฐ เป็น 1,450 เหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นข้าวของกลุ่มบริษัทเจียเม้ง (หงษ์ทอง) ที่ส่งออกไปฮ่องกง สาเหตุที่ราคาปรับสูงขึ้นเพราะปริมาณผลผลิตข้าวหอมลดลง ขณะที่ราคาข้าว 5% ราคายังทรงตัวใกล้เคียงกับก่อนหน้านี้”
41 รายแห่ประมูลข้าวเสื่อม
ขณะที่การเปิดประมูลข้าวในสต๊อกรัฐบาลลอตสุดท้ายที่เหลือ 2 ล้านตัน จากโครงการรับจำนำข้าวจากทั้งหมดกว่า 18 ล้านตัน นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ผลการเปิดให้ผู้ประกอบการยื่นซองคุณสมบัติเพื่อเข้าร่วมประมูลซื้อข้าวสารปริมาณ 2 ล้านตัน เมื่อวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีผู้ประกอบการสนใจทั้งหมด 41 ราย แบ่งเป็น 1.การประมูลเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคน ปริมาณ 1.49 ล้านตัน มีผู้ยื่นเอกสาร 26 ราย และ 2.การประมูลเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคนและสัตว์ ปริมาณ 540,000 ตัน มีผู้ยื่นเอกสาร 15 ราย โดยในวันที่ 14-15 มิถุนายน 2561 จะประกาศรายชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติ และเปิดให้ยื่นซองเสนอราคาซื้อ
5 ข้อเสนอยกเครื่อง
รศ.ดร.นิพนธ์กล่าวเพิ่มเติมว่า การระบายสต๊อกข้าวรัฐบาลหมดลง เป็นการปลดล็อกพันธนาการซึ่งส่งผลดีต่อตลาดและราคาส่งออกข้าว ทำให้ผู้ซื้อเกิดความมั่นใจว่าไทยจะไม่มีสต๊อกข้าวราคาถูกมาถล่มตลาดอีก รัฐบาลควรอาศัยจังหวะนี้ปรับปรุงนโยบายบริหารจัดการข้าวในระยะยาว โดยจะต้องยึดกลไกตลาดเป็นหลัก และดำเนินการตามแนวทางสำคัญ 5 ด้าน คือ 1.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยกเครื่องเพิ่มประสิทธิภาพการจัดทำข้อมูลการผลิตเพื่อให้การพยากรณ์ผลผลิตแม่นยำ เช่น โมเดลของสหรัฐ ซึ่งใช้แบบจำลองทางการเกษตร
2.กระทรวงพาณิชย์ เป็นเจ้าภาพเชื่อมโยงข้อมูลเชิงลึก จากสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศในต่างประเทศ เพื่อนำมาสื่อสารกับภาคการผลิตภายในประเทศให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด 3.ภาครัฐและเอกชนร่วมกันดำเนินการการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด 4.ภาครัฐให้งบประมาณสนับสนุน ภาคประชาชน สตาร์ตอัพ นำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตและ 5.รัฐบาลวางแผนบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพ