“อัคราฯ” โชว์จ่ายค่าภาคหลวง 22 เดือนพันล้าน แต่ 27 แปลงไม่พบทอง

gold
เชิดศักดิ์ อรรถอารุณ

“เมื่อปี 2563 เราได้รับใบอนุญาตอาชญาบัตรสำรวจ 44 แปลง เกือบ 5 ปีเราขุดไป 27 แปลงยังไม่เจอแร่ทองคำ เราก็หวังส่วนที่เราขอปรับผังใหม่ ที่ลึกลงกว้างขึ้นจะได้พบแร่เพิ่ม ปี 2568 คาดกำลังการผลิตทองน่าจะแตะที่ 90,000 ออนซ์ รายได้น่าจะเพิ่มมาด้วยจากปี 2567 ขายทองได้ 1.6 ตัน เงิน 16 ตัน มูลค่า 4,800 ล้านบาท”

นี่คือบทสัมภาษณ์เพียงส่วนหนึ่งของ “นายเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ” หัวหน้าผู้จัดการทั่วไป บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ที่ได้ให้กับ “ประชาชาติธุรกิจ”

คาดทองปี’68 แตะ 60,000 บาท

อย่างที่รู้กันว่า อัคราฯเป็นอุตสาหกรรมแร่ทองคำต้นน้ำ เรามีหน้าที่สำรวจ ขุด และนำมาเข้ากระบวนการหลอมออกมาในรูปแบบของแท่งที่เรียกว่า โดเร่ ในแท่งโดเร่จะมีน้ำหนักประมาณ 11-12 กก. เป็นทอง 12% เงิน 88% เราส่งให้กับบริษัท รีฟายนิ่งโลหะมีค่า จำกัด (PMR) ทำการสกัดทองคำให้มีความบริสุทธิ์ได้ที่ 99.99% ใช้เวลาประมาณ 10 วัน จากนั้นส่งไปที่บริษัท ออสสิริส จำกัด เพื่อนำไปแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า ทั้งการทำเครื่องประดับที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัวที่สามารถส่งออกสู่ตลาดโลก นำรายได้กลับเข้าประเทศ

พันธมิตรทั้ง 2 รายเกิดขึ้นช่วงที่เรากลับมาดำเนินธุรกิจตอนเดือนมีนาคม 2566 ตอนนั้นราคาทองเริ่มปรับตัวดีขึ้นมาตลอด หลายคนพูดว่าเรามาในช่วงจังหวะที่ดี โดยปี 2568 มีการวิเคราะห์กันว่าราคาทองอาจขยับไปแตะที่บาทละ 60,000 บาท ถามว่าเราได้อานิสงส์หรือไม่ แน่นอนว่าเราได้ โดยปี 2567 เราขายทองกับเงินได้กว่า 4,800 ล้านบาท (เป็นรายได้จากเหมืองเดิม ไม่ใช่ 44 แปลงที่ได้เมื่อปี 2563)

แต่หากเทียบกับสิ่งที่เราต้องจ่ายไป เพราะกว่าจะเจอแร่ ขุดแร่ขึ้นมา เราใช้เวลานานหลายปี บางพื้นที่ขุดมา 10 ปีไม่เจออะไรเลย เหมือนเอาเงินลงทุนไปทิ้ง และตามกฎหมาย พ.ร.บ.แร่ ฉบับใหม่ (2560) ยิ่งเข้มงวดในเรื่องของการจ่ายเงินเข้ากองทุน มันมีข้อบังคับที่มากขึ้นกว่าเดิม เพราะกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) เขาต้องการให้ประโยชน์กับชุมชนในพื้นที่มากที่สุด

ADVERTISMENT

โอดรัฐคิดค่าภาคหลวงสูง

ตามกฎหมายแล้ว เหมืองแร่จะต้องจ่ายค่าภาคหลวงเข้ารัฐ เงินตอบแทนพิเศษ หากนับตั้งแต่เปิดใหม่รอบนี้ 22 เดือน (มีนาคม 2566-มกราคม 2568) รวมแล้ว 1,037 ล้านบาท ซึ่งค่าภาคหลวงแร่จะถูกจัดสรรให้เป็นรายได้รัฐ 40% ให้องค์การบริหารส่วนตำบลทั่วประเทศ 10% ให้ชุมชนในพื้นที่ที่บริษัทดำเนินการทำเหมือง 50% โดยแบ่งเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ประทานบัตรตั้งอยู่ 20% องค์การบริหารส่วนตำบลที่ประทานบัตรตั้งอยู่ 20% และองค์การบริหารส่วนตำบลภายในจังหวัดอีก 10% และยังมีในส่วนของเงินบำรุงพิเศษ 5% โดยคำนวณจากค่าภาคหลวงแร่ที่ให้กับ กพร. เพื่อการศึกษาวิจัยด้านแร่ ปรับสภาพพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมืองแล้ว และเรายังจ่ายอีก 4 กองทุน คือ กองทุนประกันความเสี่ยง กองทุนฟื้นฟูพื้นที่เหมืองแร่ กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ และกองทุนพัฒนาหมู่บ้านรอบพื้นที่เหมืองแร่ รวม 207 ล้านบาท ที่เราจ่ายเยอะเพราะมันเป็นแร่ที่มีมูลค่าสูง

แต่ต้องยอมรับว่ามันเป็นสัดส่วนค่าภาคหลวงที่ค่อนข้างสูงกว่าในประเทศอื่น ตอนนี้เราโดนอยู่ 17-20% ในขณะที่ออสเตรเลียจ่ายอยู่ที่ 3% แต่เราก็ต้องจ่าย เราป้อนเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยกว่า 4,100 ล้านบาทต่อปี ทั้งการจ้างงานทั้งทางตรงและผ่านผู้รับเหมาในพื้นที่ประมาณ 1,000 คน และการชำระค่าภาคหลวงแร่ให้แก่รัฐมูลค่านับพันล้านยังไม่รวมการจ้างงานทั้งของอัคราฯโดยตรง หรือในส่วนของผู้รับเหมา หรือบริษัทคู่ค้าอย่าง PMR และออสสิริส ดังนั้น หากรัฐบาลให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมกลางน้ำและปลายน้ำ เชื่อว่าผลประโยชน์จะยิ่งทวีคูณ ขณะเดียวกันโอกาสในการมีเหมืองแร่ทองคำเพิ่มก็ยังมีอยู่ เพียงแต่ภาครัฐต้องมีนโยบายสนับสนุนที่ชัดเจนผ่านการกำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศบนพื้นฐานของทรัพยากรธรรมชาติที่เกิดอยู่ร่วมกัน และกำหนดแผนการพัฒนาตามศักยภาพที่แท้จริงของแต่ละพื้นที่

ADVERTISMENT

เชื่อ 6 จังหวัดไทยมีแร่ทองคำ

เราใช้เงิน 2,600 ล้านบาท ในการยกเครื่องซ่อมแซมเครื่องจักรและโรงประกอบโลหกรรมทั้ง 2 แห่ง ทำให้ตอนนี้เรามีกำลังการผลิตได้เต็มรูปแบบแล้ว อย่างปี 2567 เราผลิตแร่ทองคำได้ประมาณ 50,000 ออนซ์ ตั้งเป้าปี 2568 ไว้ที่ 80,000-90,000 ออนซ์ จากนั้นจะค่อย ๆ เพิ่มเป็น 95,000-120,000 ออนซ์ ในอีก 2-3 ปีต่อจากนี้ ซึ่งเราคิดว่าทำได้เพราะศักยภาพของเราและแหล่งแร่ยังมี ปัญหาสำคัญคือ ทองคำมันจะเกิดขึ้นปนอยู่กับแร่ตัวอื่น ๆ ที่อยู่ทั้งในเขตป่าไม้ ที่ดินรัฐ

ดังนั้นมันจำเป็นที่ต้องทำการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment : SEA) ซึ่งมันจะครอบคลุมไปถึงเรื่องพื้นที่เป้าหมายอยู่ในจังหวัดไหน รัฐจะส่งเสริมยังไง หากเป็นที่เกษตร ป่า จะต้องทำอย่างไร หากเราทำ SEA มันจะเห็นภาพใหญ่ และมันจะไปอิงกับเรื่องการประกาศเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมืองอีก ซึ่งในประเทศไทยตอนนี้คาดว่า แร่ทองคำจะอยู่ในพื้นที่จังหวัดเลย เพชรบูรณ์ สระบุรี พิจิตร ปราจีนบุรี พิษณุโลก

27 แปลงยังไม่พบแร่ทองคำ

เรายังคงมีเวลาสำรวจ อย่างที่เราได้รับอนุญาตไป 44 แปลง (397,000 ไร่) เราสำรวจไปแล้ว 27 แปลงไม่พบแร่ทองคำ ก็เหลืออีก 17 แปลง (150,000 ไร่) ซึ่งมันจะหมดอายุอาชญาบัตรสำรวจสิ้นปี 2568 ถ้ายังไม่เจออีก เราก็คงจะต่ออายุอีกครั้ง คือ 5 ปี ถ้ายังไม่เจออีก เราก็คืนพื้นที่ไปให้หมด ไม่สำรวจแล้ว ส่วนประทานบัตรเรามีทั้งหมด 14 แปลง (7,000 ไร่)อยู่ที่พิจิตรกับเพชรบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีคำขอค้างอยู่ 3 คำขอ ต่ออายุอีก 1 คำขอ ที่ขอไว้ตั้งแต่ปี 2556 และปี 2559 เรายังไม่ได้ทำอะไรกับมันเพราะมันมาสะดุดตอนที่โดนปิดเหมือง จากนี้ก็คงต้องกลับไปดูอีกครั้งว่าจะดำเนินการต่ออย่างไรเพราะการลงทุนต่าง ๆ ใช้เงินค่อนข้างมาก เริ่มตั้งแต่ซื้อที่ดิน สำรวจ ใช้เงิน 200-300 ล้านบาท

ส่วนความคืบหน้าตัวเหมืองที่ขอแก้ไขแผนผังเหมืองให้กว้างและลึกขึ้นในพื้นที่เดิมนั้น เพื่อที่จะเพิ่มโอกาสในการพบแร่ทองมากขึ้น ขณะนี้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ส่งเรื่องการทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) กลับมาที่ กพร. แล้วแก้ไขถ้อยคำอีกเล็กน้อยและรอเซ็นอนุญาต ซึ่งคาดว่าจะสามารถขุดแร่ได้ในไตรมาส 1 ปีนี้

ทองเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ

นอกจากเป็นวัตถุดิบในเครื่องประดับแล้ว ทองคำยังเป็นส่วนหนึ่งในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อย่างมือถือก็มีทองเป็นส่วนประกอบ ซึ่งความต้องการทองคำในภาคเทคโนโลยียังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับเทรนด์การใช้พลังงานทางเลือกที่ส่งผลให้มีความต้องการโลหะมีค่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากโลหะมีค่าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของแบตเตอรี่หรือแผงโซลาร์เซลล์

ดังนั้น ทองคำและโลหะมีค่ายังคงเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ทั่วโลกต้องการ