WHA Group ประกาศแผนรุก 5 ปี อานิสงส์ทรัมป์ 2.0 ดึงนักลงทุนจีนเพิ่ม

WHA Group ประกาศแผนธุรกิจ 5 ปี รายได้รวม 150,000 ล้านบาท ทรัมป์ 2.0 อานิสงส์นักลงทุนจีนเข้ามาต่อเนื่อง 3 ปี สัดส่วน 65% ส่วนใหญ่ลงทุนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า กลางปีนี้พร้อมประกาศราคาที่ดิน เฉลี่ยขึ้น 20-30%

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการเติบโต 5 กลุ่มธุรกิจหลักรวมธุรกิจล่าสุด WHA Mobility โซลูชั่นกรีน โลจิสติกส์ครบวงจรรายแรกของไทย ส่งผลให้คาดการณ์กำไรสูงต่อเนื่องทั้งปี 2567 บริษัทจะมีรายได้รวม และส่วนแบ่งกำไรของกลุ่มบริษัท 14,400 ล้านบาท อัตรากำไร EBITDA มากกว่า 55% และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนน้อยกว่า 1.2 เท่า ทำให้ WHA ทั้งปีจะเติบโตได้เกินเป้าหมาย พร้อมตั้งเป้าหมายรายได้รวม 5 ปีรวม 150,000 ล้านบาท

จรีพร จารุกรสกุล
จรีพร จารุกรสกุล

โดย WHA Group เพื่อให้ธุรกิจเติบโตพร้อมวางกลยุทธ์ในการพัฒนา 5 กลุ่มสำคัญ คือ ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจโมบิลิตี้ โซลูชั่นกรีน โลจิสติกส์ครบวงจร ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน และธุรกิจดิจิทัลโซลูชั่น ด้วยการส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ครบวงจรเข้ามาใช้ เพื่อก้าวสู่การเป็นการเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี (Tech-Driven Organization) และก้าวไปสู่การเติบโตโนภูมิภาคอาเซียน และเดินหน้าสู่การเป็นองค์กรสมรรถนะสูงทุกมิติ (High Performance Organization) สอดคล้องกับพับพันธกิจ “WHA : We Shape the Future”

และในปี 2568 WHA Group ได้วางแผนการดำเนินงานธุรกิจ โดยคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้และส่วนแบ่งกำไรกว่า 20,000 ล้านบาทครั้งแรก และคงอัตรากำไร EBITDA Margin มากกว่า 45% ขณะที่แผนการดำเนินงานใน 5 ปี (2568-2572) WHA Group เตรียมความพร้อมเพื่อการขยายและสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจในระยะยาว ด้วยการอัดงบฯลงทุนกว่า 119,000 ล้านบาท ใน 5 กลุ่มธุรกิจ เพื่อวางแผนสร้างรายได้เติบโตประมาณ 2.9 เท่าจากปี 2567 หรือ 150,000 ล้านบาท หรือทำกำไรได้กว่าประมาณ 40,000 ล้านบาท และมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนน้อยกว่า 1.2 เท่า

“แต่จากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical) ที่อาจจะยิงทวีความเข้มข้น สงครามการค้า ทรัมป์ 2.0 เรามองเป็นผลดีต่อบริษัทที่อาจจะช่วยสร้างโอกาส ในการเข้ามาลงทุนให้เกิดขึ้นในภูมิภาคอาเซียนรวมถึงประเทศไทยมากขึ้น ไทยซึ่งถือว่ามีพื้นที่ตั้งที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ การเป็นศูนย์รวม Supply Chain ที่ครบวงจร มีความพร้อมด้านระบบสาธารณูปโภค ความมันคงทางด้านพลังงาน พลังงานหมุนเวียน แรงงานที่มีคุณภาพ และนโยบายการส่งเสริมจากภาครัฐ ที่จะเอื้อประโยชน์ต่อนักลงทุนในภาคอุตสาหกรรมหลัก

ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สินค้าอุปโภคบริโภค อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ คลาวด์เซอร์วิส ซึ่ง WHA Group ถือว่าเป็นผู้นำ มีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ครบวงจรจะสามารถรองรับการลงทุนได้อย่างดี จะทำให้ธุรกิจเราเติบโตไปในทิศทางที่ดี“

ADVERTISMENT

อย่างไรก็ดี เพื่อให้ WHA Group เติบโตได้ตามเป้าหมาย บริษัทยังคงดำเนินงานตาม 4 กลยุทธ์สำคัญ ประกอบ Extend Leadership เร่งขยายธุรกิจต่อเนื่องทั้งในประเทศและตลาดภูมิภาค Embrace Innovation and Technology นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสร้างสรรค์ธุรกิจใหม่ ๆ ที่เป็น New S-Curve ให้กับองค์กร Enhance the Prominence on Green and Sustainability มุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เพื่อสร้างคุณค่าให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม และ Buid High Permance Organization ด้วยการพัฒนา ยกระดับองค์กรในทุกด้านให้เป็นองค์กรสมรรถนะสูง

ADVERTISMENT

นางสาวจรีพรกล่าวอีกว่า จากนโยบายทรัมป์ 2.0 ยอมรับว่านักลงทุนให้ความกังวลในเรื่องนี้พอสมควร แต่ก็สามารถประเมินอนาคตได้ว่า ทรัมป์ต้องการอะไร และเชื่อว่าจะมีการเคลื่อนย้ายการลงทุน และตอนนี้บริษัทก็มีการเจรจากับนักลงทุนกว่า 100 ราย พื้นที่การซื้อขายก็ประมาณ 1,000 ไร่

ซึ่งแต่ละรายก็เจรจาซื้อขาย 400-500 ไร่ แต่จะเป็นใครยังไม่สามารถให้ข้อมูลได้โดยรอให้กับทางลูกค้าเป็นผู้ประกาศและเชื่อว่าในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 นี้จะมีการประกาศออกมา ส่วนแนวโน้มราคาที่ดิน บริษัทมีการปรับขึ้นมาในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และจะมีการประกาศอีกครั้งในกลางปีนี้ ซึ่งราคาปรับขึ้นเฉลี่ย 20-30% จากเดิม

”การปรับขึ้นราคานั้นระบุไม่ได้ว่าพื้นที่ไหนขึ้นเท่าไร เนื่องจากมีนิคมใหม่ขึ้นมา และนิคมเดิมนั้นก็มีการขายไปเกือบหมดแล้ว และในปีนี้ก็มีแผนการลงทุนด้านนิคมประมาณ 20,000 ล้านบาท ซึ่งตอนนี้ก็มีซื้อไว้แล้ว 13,000 ไร่ และก็ยังมีเป้าหมายที่จะยังคงซื้อเพิ่มเพิม พร้อมกับศึกษาด้านลงทุนนิคมในมาเลเซีย และอินโดนีเซียด้วย“

สำหรับนักลงทุนจีนที่เข้ามาลงทุนเพิ่มส่วนใหญ่แล้วก็เป็นกลุ่มยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เซมิคอนดักเตอร์ เทคโนโลยี เป็นต้น ส่วนนักลงทุนสหรัฐที่มา คือ กูเกิล ส่วนกลุ่มอื่นก็อยู่ระหว่างเจรจาส่วนใหญ่ก็น่าจะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์

ทรัมป์ 2.0 หนุนจีนย้ายลงทุนเพิ่ม

นายปจงวิช พงษ์ศิวาภัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ (WHA ID) กล่าวว่า ในปี 2567 บริษัทมียอดขายที่ดินรวม 2.565 ไร่ แบ่งเป็นในประเทศไทย 2.453 ไร่ และประเทศเวียดนาม 112 ไร่ และมียอดโอนที่ดินรวม 2.070 ไร่ แบ่งเป็นในประเทศไทย 1,727 ไร่ และประเทศเวียดนาม 343 ไร่ โดยลูกค้ารายสำคัญ คือ Google ได้ลงนามสัญญาซื้อขายที่ดินเพื่อสร้าง Data Center แห่งแรกในประเทศไทย และ Haier เพื่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศครบวงจรแห่งใหม่

นอกจากนี้ สิ้นปี 2567 ส่งผลให้บริษัทมีนิคมทั้งหมด 15 นิคมอุตสาหกรรม ตั้งอยู่ในประเทศไทย 14 แห่ง และประเทศเวียดนาม 1 แห่ง ทั้งนี้ บริษัทยังมีพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในไทยที่กำลังก่อสร้างและรอการพัฒนารวม 7 โครงการ บนพื้นที่ 8.810 ไร่ เพื่อรองการที่ดินจากนักลงทุนที่คาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับโครงการในประเทศเวียดนามยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมี 2 โครงการ ขนาดพื้นที่รวม 2,297 ไร่ ที่ได้รับอนุญาตการอนุมัติใบอนุญาตลงทุน (Investment Registration Certificate, IRC) เรียบร้อยแล้ว และ 1 โครงการ ขนาด 1,094 ไร่ อยู่ระหว่างการขออนุมัติใบอนุญาตลงทุน และในเดือนมกราคม 2568 บริษัทยังได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับรัฐบาลท้องถิ่นประจำจังหวัดทัญฮว้า (Thanh Hoa) เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรม 2 แห่ง พื้นที่รวมประมาณ 4,000 ไร่

ขณะที่ภาพรวมในปี 2568 บริษัทยังคงมุ่งรักษาความเป็นผู้นำในประเทศไทย และขยายธุรกิจในประเทศเวียดนามรวมทั้งมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่น ๆ บริษัทตั้งเป้ายอดขายที่ดินรวม 2,350 ไร่ ทั้งในประเทศไทยตั้งเป้ายอยอด 1,700 ไร่ และประเทศเวียดนาม 650 ไร่ พร้อมเน้นการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งคาดว่าในช่วงไตรมาส 1 ของปีนี้จะเริ่มขึ้นภาพชัดเจนมากขึ้น

”จากนโยบายทรัมป์ 2.0 ทำให้ธุรกิจเราเติบโตไปได้ดี ทำให้เรามีความมั่นใจในการขายที่ดินนิคมทั้งในไทยและเวียดนามให้มีการเติบโตขึ้น และด้วยบริษัทก็อยู่ระหว่างการขยายพื้นที่เพื่อรองรับการลงทุน และอุตสาหกรรมเป้าหมาย จึงมั่นใจว่าจะทำให้นักลงทุนเข้ามาเพิ่มและเมื่อดูยอดการเข้ามาลงทุนในนิคม และจีนยังคงเป็นนักลงทุนอันดับหนึ่ง และช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามียอดเพิ่มขึ้น

และนับตั้งแต่ปี ปี 2566 จีนมีสัดส่วนลงทุน 65% ของนักลงทุนที่เข้ามาใน WHA รองลงมาสหรัฐอเมริกา 12% ไต้หวัน 6% ญี่ปุ่น 4% และไทย 2% ส่วนลุ่มอุตสาหกรรมที่เข้ามามากสุด คือ Automotive 31% Consumer Products 26% Electrics & Electronically Appliances 17% Digital & Technology 10% และ Steel/Metai 2%“

อย่างไรก็ดี บริษัทยังมุ่งมันพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศอัจฉริยะ (Sman Industrial Estates) อย่างต่อเนื่อง และพร้อมเป็นพันธมิตรที่ให้บริการโซลูชั่นแบบครบวงจร เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น

ปี 2568 จัดการน้ำ 173 ล้านลูกบาศก์เมตร

นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHA UP) กล่าวว่า ในปี 2567 บริษัทมีปริมาณยอดขายน้ำและบำบัดน้ำเสียรวมที่ 166 ล้านลูกบาศก์เมตร มีปริมาณยอดขายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม 8 ล้านลูกบาศก์เมตร เติบโตจากปีที่ผ่านมาถึง 25% โดยโครงการที่ประสบความสำเร็จ คือ โครงการซื้อ-ขายน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูงกับบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC) ปริมาณ 3.5 ล้านลูกบาศก์เมตร/ปี

ขณะที่ ปี 2568 ในประเทศไทย บริษัทมุ่งเน้นการขยายตัวตามการเติบโตของนิคมอุตสาหกรรม โดยการสร้างความมันคงด้านทรัพยากรน้ำในการหาแหล่งน้ำดิบอย่างต่อเนื่อง ขยายการผลิตน้ำที่มีมูลค่าเพิ่ม (Value-Added Water) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า พร้อมหาโอกาสใหม่ ๆ ในการขยายธุรกิจในพื้นที่นอกนิคมอุตสาหกรรม WHA รวมไปถึงารเข้าร่วมโครงการสาธารณูปโภคน้ำปะปาและน้ำเสียในพื้นที่ใหม่ ๆ

โดยมีเป้าหมายที่จะทำสัญญาซื้อ-ขายน้ำกับการประปาส่วนภูมิภาค ปริมาณสูงสุด 4.3 ล้านลูกบาศก์เมตร/ปี นอกจากนี้ ยังคงเดินหน้าพัฒนา Smart Solutions เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการ ลดต้นทุน และลดน้ำสูญเสีย

สำหรับเวียดนาม บริษัทวางแผนขยายธุรกิจน้ำอุตสาหกรรมและบำบัดน้ำเสียเพื่อตอบสนองความต้องการขอในนิคมอุตสาหกรรม และใช้ความเชี่ยวชาญของบริษัทในการพัฒนาประสิทธิภาพโครงการสาธารณูปโภคด้านน้ำที่ได้เข้าไปลงทุน

โดยในปี 2568 นี้ ได้ตั้งเป้ายอดการจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำรวมที่ประมาณ 173 ล้านลูกบาศก์เมตร และแบ่งเป็นภายในประเทศประมาณ 132 ล้านลูกบาศก์เมตร และในเวียดนามประมาณ 41 ล้านลูกบาศก์เมตร บริษัทยังคงมุ่งเน้นธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม โดยตั้งเป้าที่ประมาณ 10 ล้านลูกบาศก์เมตร

ลงทุนไฟฟ้าเพิ่มเป้า 1,185 เมกะวัตต์

ส่วนธุรกิจไฟฟ้าในปี 2567 บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมที่ลงนามแล้ว 965 เมกะวัตต์ ซึ่งมาจากพลังงงานสะอาดทั้งหมด 437 เมกะวัตต์ สำหรับปี 2568 บริษัทจะเดินหน้าขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนทั้งในไทยและนอกประเทศ โดยในไทยมุ่งเน้นการลงทุนในโครงการโซลาร์รูฟท็อป โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in-Tariff และโครงการ Direct PPA เป็นต้น

สำหรับประเทศเวียดนาม บริษัทได้เริ่มดำเนินการศึกษาและพัฒนาโครงการไมโครกริดที่นิคมเขตอุตสาหกรรม WHA Smart Technology Zone 1 ในจังหวัดทัญฮว้า (Thanh Hoa) เฟส 1 ซึ่งคาดว่าจะพร้อมให้บริการเชิงพาณิชย์ในปี 2569 และมุ่งเน้นต่อยอดการขยายธุรกิจโซลาร์รูฟท็อปอีกด้วย

นอกจากนี้ บริษัทยังดำเนินการพัฒนานวัตกรรมและโซลูชั่นพลังงานอย่างต่อเนื่อง ได้แก่
แพลตฟอร์มการซื้อขายพลังงานไฟฟ้า (Peer-to-Peer Energy Trading) และการซื้อขายใบรับรองเครดิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (1-REC) รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในธุรกิจ New S-Curve

เช่น เทคโนโลยีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor : SMR) ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System : BESS) และเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage : CCUS) เป็นต้น

พร้อมตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมที่ลงนามแล้วเป็น 1,185 เมกะวัตต์ ซึ่งจะมาจากพลังงานหมุนเวียน 657 เมกะวัตต์

อย่างไรก็ดี ในอีกกลุ่มธุรกิจ โลจิสติกส์ บริษัทยังวางกลยุทธ์ในการขยายการเติบโตโดยเฉพาะทั้งในและต่างประเทศโดยเฉพาะเวียดนาม รวมไปถึงกลุ่มธุรกิจ โมบิลิตี้ โซลูชั่นกรีนโลจิสติกส์ครบวงจรรายแรกในประเทศไทย และธุรกิจดิจิทัล ที่จะเป็นธุรกิจที่จะสร้างรายได้ให้กับบริษัทในแผน 5 ปี