ทาทา สตีล ย้ำทรัมป์ 2.0 ยังไม่กระทบ Q3 ปีการเงิน 2568 มีรายได้ 5,676 ล้านบาท

ทาทา สตีล เปิดรายได้ไตรมาส 3 ปีการเงิน 2568 อยู่ที่ 5,676 ล้านบาท ลดลงจากช่วงที่ผ่านมา ผลจากตลาดซบเซา ราคาขายลดลง แต่มั่นใจว่าจะยังคงรักษารายได้ในไตรมาส 4 ขณะที่ ปัญหาสหรัฐยังคงไม่กระทบส่วนจีนยังคงต้องจับตาเหล็กไหลเข้าประเทศ

นายตารุน ดากา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทไตรมาส 3 ปีการเงิน 2568 ซึ่งอยู่ระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2567 โดยมีผลกำไรก่อนหักภาษีเงินได้ อยู่ที่ 295 ล้านบาท เทียบกับช่วงไตรมาสที่ผ่านมามีผลกำไรลดลง ขณะที่ปริมาณการขายในไตรมาสอยู่ที่ 277,000 ตัน เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าปริมาณลดลง สะท้อนถึงความต้องการผลิตภัณฑ์เหล็กทรงยาวภายในประเทศ ทำให้ยอดขายรวมลดลง อยู่ที่ 208,000 ตัน

แต่ทั้งนี้ ยังได้รับชดเชย จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น 69,000 ตัน เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลทำให้การขายไตรมาสนี้อยู่ที่ 5,676 ล้านบาท แม้จะลดลง ซึ่งก็เป็นผลจากภาวะตลาด แต่เชื่อว่ารายได้ไตรมาส 4 จะดีขึ้น

“ตลาดสินค้าเหล็กของประเทศไทยยังคงต้องเผชิญอุปสรรคที่รุนแรงจากความต้องการภายในประเทศลดลง และการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากการนำเข้า มีแนวโน้มที่เติบโตและการฟื้นตัวในภาคสำคัญยังชะลอตัว เช่น การก่อสร้าง การผลิต ยานยนต์ เป็นต้น”

อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากโครงการ Mega Project ที่จะเริ่มก่อสร้างในช่วงปลายปี 2567 ที่ผ่านมาและคาดว่าจะมีแผนที่จะเริ่มโครงการในช่วงต้นปีนี้ รวมประมาณ 150,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมีความต้องการใช้เหล็กเส้นในโครงการประมาณ 300,000 ตัน ภายในระยะเวลา 3 ปี ดังนั้น จึงคาดหวังว่าหน่วยงานรัฐบาลจะมีการเร่งดำเนินการโครงการและเร่งเบิกจ่ายงบฯเพื่อให้เกิดการดำเนินงานของแต่ละโครงการโดยเร็ว ซึ่งจะเป็นมีต่อความต้องการใช้เหล็กภายในประเทศ

ADVERTISMENT

นอกจากนี้ บริษัทยังคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2568 อยู่ที่ 2.9% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายของรัฐบาลที่กลับสู่ภาวะปกติหลังจากความล่าช้าในปีงบประมาณ 2567 การลงทุนภาครัฐที่เพิ่มขึ้น การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในภาคท่องเที่ยว และการเติบโตของการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันการลงทุนยังคงประสบปัญหาจากการฟื้นตัวช้าและความเชื่อมั่นโดยรวม แม้การลงทุนของภาคเอกชนจะฟื้นตัว แต่ยังคงถูกจำกัดด้วยความเชื่อมั่น และความท้าทาย การดึงดูดจากต่างประเทศ ส่วนความต้องการเหล็กภายในประเทศน่าจะปรับดีขึ้น จากปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ส่วนมาตรการของสหรัฐอเมริกา ยังเป็นปัจจัยที่ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ มองว่าในระยะ 3-6 เดือนจากนี้จะยังไม่กระทบต่อบริษัท

ADVERTISMENT

ส่วนการไหลเข้ามาสินค้าเหล็กจากจีน รับว่ามีผลกระทบ แต่ก็ยังเป็นการเข้ามาเป็นจังหวะ ดังนั้นก็คาดหวังว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด ในเรื่องของราคาและการทุ่มตลาด โดยบริษัทยังคงมั่นใจว่ายังสามารถรักษาตลาดได้ รวมไปถึงการเปิดตลาดส่งออกเพิ่มขึ้น สำหรับสัดส่วนการทำตลาดในและต่างประเทศ โดยตลาดในประเทศยังเป็นตลาดสำคัญมีสัดส่วนประมาณ 85% ขณะที่การส่งออกขึ้นอยู่กับภาวะตลาด โดยที่ผ่านมาสัดส่วนขยับขึ้นอยู่ที่ 25% จากก่อนหน้าที่มีการส่งออกเฉลี่ย 10-15%

ตลาดส่งออกสำคัญของบริษัทยังอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย ญี่ปุ่นไต้หวัน รวมไปถึง สปป.ลาว แคนาดาและอินเดีย เป็นต้น

ส่วนการลงทุนของบริษัทยังคงให้ความสำคัญในเรื่องการลงทุนด้านคุณภาพของสินค้า ส่วนการลงทุนใหม่อยู่ระหว่างการหารือ ขณะที่แนวโน้มราคาเหล็กยังคงมองว่าจากนี้ยังอยู่ในภาวะนิ่ง จะยังไม่มีการขยับขึ้นมากนัก