
“กฟภ.” ยันขายไฟ “เมียนมา” ตามมติ ครม. เป็นเรื่องความมั่นคงระหว่างประเทศ ไม่มีสิทธิตัดสินใจ จ่อถกด่วน 6 ก.พ. 68 เคาะผิดจริง พร้อมตัดไฟทั้งเส้นทันที ชี้รายได้ 0.12% ไม่กระทบรายได้กฟภ.แน่นอน
นายประดิษฐ์ เฟื่องฟู รองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) หรือ PEA ในฐานะโฆษกประจำ กฟภ. พร้อมด้วยนายประสิทธิ์ จันทร์ประสิทธิ์ รองผู้ว่าการ กฟภ. ชี้แจงถึงการจำหน่ายไฟฟ้าให้สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาว่า
ปัจจุบัน PEA จ่ายกระแสไฟฟ้าให้สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ตามมติคณะรัฐมนตรีปี 2539 จำนวน 5 จุด ระยะสัญญาเวลา 5 ปี ในพื้นที่
1. บ้านเจดีย์สามองค์ – เมืองพญาตองซู รัฐมอญ บริษัท Mya Pan Investment and Manufacturing Company Limited ผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
2. บ้านเหมืองแดง – เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน บริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) ผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
3. สะพานมิตรภาพไทย-พม่า – เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน บริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) จำกัด ผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
4. สะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 2 อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง บริษัท Nyi Naung Oo Company Limited และ Enova Grid Enterprise (Myanmar) Company Limited ผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
5. บ้านห้วยม่วง – อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง มีบริษัท Shwe Myint Thaung Yinn Industry & Manufacturing Company Limited (SMTY) ผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
สำหรับการจำหน่ายไฟพื้นที่ 5 จุดนั้น มีระยะเวลาตามสัญญา 5 ปี ขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ โดยสัญญาสามารถปรับเปลี่ยนได้อยู่ตลอด ปัจจุบัน PEA มีรายได้จากการขายไฟฟ้าให้สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาเฉลี่ยปีละ 800 ล้านบาท จากยอดขายไฟทั้งหมดที่ 6 แสนล้านบาท ในราคาเท่ากับประเทศไทย ถือเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก ไม่เป็นไปตามข่าวที่กล่าวอ้าง
หากพิจารณาค่าไฟฟ้าบริเวณท่าขี้เหล็กราว 50 ล้านต่อเดือน หรือ 600 ล้านบาทต่อปี และพื้นที่เมียวดีประมาณ 200 ล้านบาทต่อปี โดยปริมาณการจำหน่าย (กำไร) 0.12-0.13% ของ กฟภ.เท่านั้น กรณีการทำผิดสัญญาและงดการจ่ายไฟให้กับเมียนมา เป็นเรื่องของความมั่นคงระหว่างประเทศ จึงไม่กระทบกับรายได้ของ กฟภ.แต่อย่างใด ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าบริษัทคู่สัญญาของ PEA ได้ปฏิบัติตามสัญญาอย่างถูกต้อง รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศรับรู้ และจ่ายไฟให้พื้นที่บริเวณชายแดนใกล้เคียงเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี
ดังนั้นจึงต้องประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหน่วยงานด้านความมั่นคง ที่ผ่านมาได้ทำหนังสือสอบถามไปตั้งแต่ปลายปี’67 นอกจากนี้ หลังจากที่มีกระแสข่าวออกมา PEA ทำหนังสือผ่านทางกระทรวงการต่างประเทศไปยังสถานทูตเมียนมาให้ตรวจสอบการจ่ายไฟฟ้าให้ภาคธุรกิจตามสัญญาที่เคยตกลงไว้ รวมถึง กฟภ.ได้มีการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และรายงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) แล้ว
“ไม่กระทบกับความมั่นคงทางพลังงานของประเทศแน่นอน ตามแนวชายแดนก็ไม่กระทบ มีพลังงานเพียงพอ ประสานกับ กกพ. แต่เรื่องความมั่นคงต้องประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาตลอด“ นายประสิทธิ์กล่าว
คาดว่าในวันที่ 6 กุมภาพันธ์นี้ จะมีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุมหารืออีกครั้ง ทั้งนี้หากมีการพิจารณาตรวจสอบแล้วพบการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับกลุ่มผิดกฎหมายหรือผิดตามสัญญาและความมั่นคง ซึ่งหากหน่วยงานด้านความมั่นคงพิจารณาแล้วว่าจำเป็นต้องงดการจำหน่ายไฟฟ้า PEA เองก็พร้อมที่จะงดจ่ายไฟฟ้าทุกจุดทันทีโดยไม่ต้องรอทางฝั่งรัฐบาลเมียนมา
นอกจากนี้ PEA อยู่ระหว่างขอแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศ ซึ่งส่งร่างสัญญาให้กับอัยการสูงสุด โดยยื่นเพิ่มประเด็นการยืนยันการขายไฟว่าประเทศที่ซื้อไฟไปแล้วไปขายให้ใครบ้าง เช่น ภาคการศึกษา ศาสนา เป็นต้น ซึ่งเรื่องความมั่นคงต้องลงรายละเอียดมาก หากได้รับการปรับแก้ไขก็สามารถนำเสนอบอร์ด PEA เห็นชอบต่อไป
ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีการงดการจำหน่ายไฟฟ้าเพียง 2 ครั้ง ได้แก่ ในปี 2566 สถานเอกอัครราชทูตเมียนมาประจำประเทศไทย ขอให้กระทรวงการต่างประเทศของไทยแจ้ง PEA ดำเนินการระงับการจำหน่ายไฟฟ้าในพื้นที่ 2 จุดที่บ้านวังผา อ.แม่ระมาด-บ.ก๊กโก๋ อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง และบ้านแม่กุใหม่ท่าซุง-อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง เนื่องจากมีปัญหาเงื่อนไขสัมปทาน
ส่วนอีก 1 จุด ปี 2567 ในพื้นที่ อ.เชียงแสน-เมืองพงษ์ จ.ท่าขี้เหล็ก คู่สัญญาผิดนัดชำระค่าไฟฟ้า ทำให้ PEA ยกเลิกจุดซื้อขายไฟฟ้าทั้ง 3 จุดดังกล่าวแล้ว
“ประเด็นเรื่องความมั่นคง PEA ไม่สามารถตีความหรือตัดสินใจได้ กำลังประสานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้แนวทางที่เหมาะสมว่าควรงดจ่ายไฟหรือไม่ หากมีหน่วยงานคอนเฟิร์มว่าผิดสัญญาและกระทบความมั่นคงของประเทศจริง กฟภ.ก็พร้อมงดจ่ายไฟทันที“ นายประสิทธิ์กล่าว