
คอลัมน์ : สัมภาษณ์พิเศษ
การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) รัฐวิสาหกิจซึ่งอยู่ภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีภารกิจในการบริหารจัดการยางในประเทศไทย แบบครบวงจรให้มีประสิทธิภาพและความคล่องตัว โดยในปีงบประมาณ 2568 กยท.ได้วางกรอบแนวทางการดำเนินงานให้สอดคล้องกับแผนวิสาหกิจการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2566-2570 (ฉบับทบทวนเพื่อใช้ปี พ.ศ. 2568) ภายใต้วิสัยทัศน์ “บริหารยางพาราเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน”
“ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ นายเพิก เลิศวังพง ประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย (ประธานบอร์ด กยท.) ถึงทิศทางการทำงานในปีนี้ รวมถึงความพร้อมในการยกระดับมาตรฐานยางพาราไปสู่เวทีโลก
ภารกิจรีแบรนด์ กยท.
กยท. เราผลักดันและบริหารจัดการยางแห่งประเทศไทยต่อเนื่อง ตอนนี้เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ซึ่งในปีนี้เราจะทำการรีแบรนด์ กยท. ให้เป็นหน่วยงานที่คอยควบคุมและรับรองมาตรฐานต่าง ๆ และอยู่ระหว่างการพิจารณาออกมาตรฐานโฉนดต้นยางพารา คาร์บอนเครดิต จัดทัพองค์กรเพื่อให้สอดคล้องกับการทำงานทั้งระดับในและต่างประเทศ เราจึงดำเนินการให้เป็นสากลมากขึ้น
นอกจากนี้ กยท.เองยังมีความร่วมมือระดับรัฐต่อรัฐ ที่จะประสานและแลกเปลี่ยนสินค้า ซึ่งเป็นมิติใหม่ที่จะเข้ามาดูแลราคายางพาราในประเทศได้ เกษตรกรเองก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น เห็นได้จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 1 แสนล้านบาทในรอบ 10 ปี ซึ่งการดำเนินการนั้นไม่ได้ใช้งบประมาณของรัฐบาล แต่เป็นงบประมาณปกติของ กยท.เองในการจัดเจรจาและแลกเปลี่ยนการซื้อ-ขายสินค้า
“ในตลาดโลกก็มีหลายประเทศที่ปลูกยางพารา เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไอวอรีโคสต์ ซึ่งเราก็มีความร่วมมือกับต่างประเทศอย่างเหนียวแน่น หลายฝ่ายเองก็เห็นด้วยกับแนวทางการทำงานของเรา และมีการนำแนวทางไปใช้กับเกษตรกรในประเทศของเขาด้วย”
ทำน้ำหมักปลาหมอคางดำขาย
กยท.ยังมีแนวทางในการจัดทำธุรกิจเพื่อหารายได้ มาจากทั้งผลิตภัณฑ์ยางพารา ตัวของยางพารา และร่วมกับหน่วยงานอื่นที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ เข้ามาร่วมมือในการพัฒนาตัวสินค้าเพื่อนำออกมาจำหน่าย เพราะต้องยอมรับว่าเราอยู่ในโลกของตัวเองเป็นระยะเวลา 10 ปี ไม่ได้ออกไปสู่โลกกว้าง ดังนั้น เราก็จำเป็นที่จะต้องจับมือกับหน่วยงานอื่นในการยกระดับสินค้า เพื่อก่อให้เกิดรายได้เข้ามา
โดยในครั้งแรกได้ลงทุน 50 ล้านบาท รับซื้อปลาหมอคางดำเพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำหมักชีวภาพ (น้ำหมักปลาหมอคางดำ) ตามมาตรฐานกรมพัฒนาที่ดินที่ใช้ในสวนยางพารา สวนทุเรียน โดยผลิตได้ประมาณ 1 ล้านลิตร และนำออกไปจำหน่ายให้กับผู้ที่สนใจ ทำให้ กยท.มีรายได้จากการขายประมาณ 100 ล้านบาท กำไรถึง 50 ล้านบาท โดยจะมีการขยายเฟส 2 เริ่มรับซื้อปลาหมอคางดำ ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 นี้
นอกจากนี้ กยท.ยังช่วยประสานการรับซื้อยาง เช่น ผู้นำเข้าจากยุโรป ที่ต้องการน้ำยางพาราที่มีคุณภาพ ไม่ปนเปื้อนสารเคมี นำเข้าเดือนละ 1,000 ตัน ซึ่งเครือข่ายที่เป็นออร์แกนิกก็จะได้ราคาบวกจากราคาตลาดอีก 6 บาทต่อกิโลกรัม ถือเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรไทย
ตั้งเป้ารายได้ปีนี้พันล้าน
ในปี 2566 ที่ผ่านมา เราดำเนินการร่วมกับภาคเอกชนในการผลิตยางล้อรถยนต์ โดยในปี 2568 เราเริ่มผลิตยางล้อรถจักรยานยนต์ 4 ขนาด ตามความนิยมที่ใช้ในท้องตลาด คาดว่า 1-2 เดือนจะพร้อมออกจำหน่ายสู่ท้องตลาด โดยใช้ชื่อแบรนด์ของ กยท. คือ “กรีนเนอร์จี้ พลังสีเขียว” (Greenergy) และผู้ซื้อก็มั่นใจเรื่องของคุณภาพ ราคาย่อมเยากว่าราคาในท้องตลาดทั่วไป เพราะผลิตจากบริษัทที่รับจ้างผลิตยางล้ออันดับ 1
ขณะที่การผลิตหมอน ที่นอนยางพารา แม้ปัจจุบันความนิยมจะลดลง แต่ในตลาดจีนก็ยังมีความต้องการอยู่ ประกอบกับรัฐบาลมีโครงการบ้านเพื่อคนไทย 1 ล้านหลัง ดังนั้นก็จะมีสินค้าของ กยท.อยู่ในนั้นด้วย โดยตั้งเป้าหมายสิ้นปี 2568 จะมีรายได้ 1,000 ล้านบาท โดย กยท.จะพยายามหาช่องทางในการทำธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างรายได้ให้กับหน่วยงาน เพราะเรามีความตั้งใจในการใช้งบประมาณของตัวเอง ลดการพึ่งพางบประมาณของรัฐบาล
เลิกใช้งบฯรัฐแทรกแซงราคายาง
หลังจากที่ กยท.มีการยกระดับหน่วยงาน ทำให้บุคลากรของเรามีความรู้ความเข้าใจงานด้านตลาดยางพาราเพิ่มมากขึ้น ทำให้การทำงานต่อจากนี้ เราจะไม่มีนโยบายแบบเดิมและไม่เห็นด้วยที่จะนำงบประมาณของรัฐบาลมาใช้จ่ายในการเข้าไปแทรกแซงตลาด แทรกแซงราคายางพารา การรับซื้อยางหรือชดเชยราคายาง ซึ่งบางครั้งใช้งบประมาณกว่า 50,000 ล้านบาท แต่สิ่งที่เราจะทำจากนี้ คือ การบริหารหน่วยงาน ยกระดับราคา คุณภาพ ผลิตภัณฑ์ยางพาราของไทย โดยใช้งบประมาณของเราเอง
โดยในปี 2567 กยท.ได้เริ่มใช้งบประมาณ 1,200 ล้านบาท โดยเข้ามาชะลอราคายางพารา ในปี 2568 เราได้เพิ่มงบประมาณเข้าไปอีก 1,800 ล้านบาท รวมงบประมาณทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นอาวุธที่เรามี ถือว่า “เป็นดาบที่มีขนาดใหญ่ขึ้น จากอดีตเป็นได้แค่ไม้จิ้มฟัน”
ส่วนแนวโน้มราคายางพาราตอนนี้ ถือว่าราคาดีกว่าปีที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยราคายางแผ่นดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 70 บาทต่อกิโลกรัม น้ำยาง 65 บาทต่อกิโลกรัม และยางก้อนถ้วย 30 บาทต่อกิโลกรัม และเชื่อว่าแนวโน้มราคาก็จะดีขึ้น
“กยท.เราจะมีเป้าหมายเพิ่มงบประมาณในการเข้ามาดูแลยางในประเทศประมาณ 30,000 ล้านบาท ที่จะใช้ในการควบคุมเสถียรภาพราคา แต่เราจะไม่เล่นเอง เราจะสนับสนุนให้กับสถาบันยางต่าง ๆ ที่มีความเข้มแข็ง เข้ามาเล่นในตลาด เพราะเราต้องการให้สถาบันยางเป็นเสือตัวที่ 6 ของตลาด เพราะฉะนั้น เราจึงได้ติดอาวุธ องค์ความรู้ต่าง ๆ เครื่องมือ และทีมที่ปรึกษา”