
ฤดูฝุ่น PM 2.5 เตรียมเคลื่อนเข้าสู่ 17 จังหวัดภาคเหนือ หลังเข้าใกล้ฤดูเผาไร่ทั้งในและนอกประเทศเพื่อนบ้าน ด้านสภาลมหายใจเชียงใหม่ เสนอตั้งกรรมการร่วม 2 ประเทศรับมือเผาข้ามแดน ให้ตรวจสอบย้อนกลับการรับซื้อข้าวโพดบริษัทข้ามชาติที่เข้าไปลงทุนใน สปป.ลาว-เมียนมา หวังลดจุดความร้อนลง ขณะที่ กรมการค้าต่างประเทศ ชง “ใบรับรอง CA” ซื้อข้าวโพดที่ไม่ได้มาจากการเผาไร่ แต่มีผลบังคับใช้อาจไม่ทันข้าวโพดครอปนี้ ด้านผู้ว่า “ชัชชาติ” ขอติดดาบประกาศ “เขตควบคุมมลพิษ” เอง พร้อมสั่งการแก้ปัญหาฝุ่น กทม.เบ็ดเสร็จ ไม่ต้องรอหน่วยงานอื่น
รศ.ดร.สุรัตน์ บัวเลิศ หัวหน้ากลุ่มวิจัยวิทยาศาสตร์บรรยากาศ คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงสถานการณ์ฝุ่นมลพิษ PM 2.5 ในขณะนี้ว่า ปีนี้ฝุ่นค่อนข้างมาเร็ว ตามปกติตัวเลขขนาด 100 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) หรืออยู่ในโซนสีแดง (91 มคก./ลบ.ม.) มีผลกระทบต่อสุขภาพ จะเกิดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม แต่ปีนี้ฝุ่นกลับมาเกินค่ามาตรฐานตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม ตัวเลขสูงกว่าปกติ แปลว่า มาเร็วและหนักเร็ว
“จากการติดตามสถานการณ์ของเราจากการประมวลข้อมูลจาก KU Tower พบว่า ฝุ่นเริ่มมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนแล้ว พอเริ่มอากาศเย็นลง ฝุ่นก็มา ตัวเลขค่าฝุ่นก็ไล่ขึ้นมาตั้งแต่ 30-40 มคก./ลบ.ม. ซึ่งเป็นค่าสีเขียว แล้วปรับขึ้นมาเป็น 51-100 มคก./ลบ.ม. สีเหลือง มาถึงต้นเดือนมกราคมปรับขึ้นเกินกว่า 100 มคก./ลบ.ม. พรวดเดียวเป็นสีแดงเลย ซึ่งเราไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน” รศ.ดร.สุรัตน์กล่าว
จากการศึกษาข้อมูลฝุ่นที่เราจัดเก็บช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ลมเปลี่ยนทิศ ตามปกติเดือนตุลาคมลมจะพัดมาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ พอเข้าเดือนพฤศจิกายนลมจะมาจากทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และเริ่มมีความเย็นเข้ามา ความเย็นจะเป็นตัวเริ่มให้อากาศหนัก พอหนัก อากาศก็จะจมตัวลงมากขึ้น อากาศนิ่งมากขึ้น ดังนั้นอุณหภูมิต่ำ-อากาศเย็นจนตัวฝุ่นที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯก็จะเริ่มโตขึ้น หรือหมายความว่า “ฝุ่นเดิมแห้งอยู่
แต่พอช่วงกลางคืนอากาศเริ่มเย็นมีความชื้นในอากาศมากขึ้น ฝุ่นก็จะดึงเอาน้ำเข้าไปแล้วโตขึ้น พอวัดด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ก็จะพบค่าว่า ฝุ่นตอนกลางคืนค่าสูงขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งผมเรียกมันว่า ฝุ่นหลังเที่ยงคืน เวลาอากาศเริ่มเย็นมากขึ้น จนมาถึงช่วงสาย ๆ อากาศก็จะเริ่มหนักจนเกิดภาวะอุณหภูมิผกผัน หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ภาวะฝาชีครอบ อากาศข้างล่างเย็น แต่อากาศข้างบนมันอุ่นกว่า อากาศก็จะไม่ลอย มีการสะสมฝุ่นอยู่ข้างในเหมือนฝาชีครอบไว้ เพราะอากาศไม่มีการเคลื่อนที่ ลอยไม่ได้ ด้านข้างก็ไม่มา ทั้งลมในแนวนอนก็หายไปด้วย” รศ.ดร.สุรัตน์กล่าว
ภาวะที่เจอแบบนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาใช้ศัพท์ว่า “อัตราการระบายอากาศต่ำ”จากเหตุผลที่ว่า ชั้นเพดานอากาศเตี้ย ลมด้านข้างไม่ไหลเข้ามา ดังนั้นการที่จะเอาอากาศจากตรงนี้ออกไปก็ต่ำลง เป็นปัญหาแบบนี้ไม่ว่าฝุ่นหรืออะไรก็ตามที่อยู่ข้างในก็จะสะสมสูงขึ้น จากค่าฝุ่นตามปกติในกรุงเทพฯที่สะสมไว้อยู่ในระดับ 40-60 มคก./ลบ.ม. ก็จะเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีส้ม (51-90 มคก./ลบ.ม.) ประกอบกับเจอภาวะการ “เผา” จากรอบนอกกรุงเทพฯและปริมณฑลเข้ามาผสมโรง หรือเข้ามาเติมฝุ่นในกรุงเทพฯ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผาจากบริเวณจังหวัดใกล้เคียงมีนบุรี-นครนายก-ปราจีนบุรี ที่เห็นจุดความร้อน (Hot Spot) เพิ่มขึ้น ไปจนกระทั่งการเผาจากประเทศเพื่อนบ้านอย่าง กัมพูชา เพิ่มมากขึ้น ก็จะเข้ามาเติมฝุ่นให้กับกรุงเทพฯ จากค่าปกติที่มีอยู่เดิม 40-60 มคก./ลบ.ม. ก็เพิ่มขึ้นเป็น 70-80-90-100 มคก./ลบ.ม. ส่งผลให้ค่าฝุ่นในกรุงเทพฯ “เกินกว่า” มาตรฐานความปลอดภัยในที่สุด
ขอ KPI วัดหน่วยงานลดค่าฝุ่น PM 2.5
ส่วนการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 นั้น รศ.ดร.สุรัตน์กล่าวว่า พอรู้ว่า “แหล่ง” หรือ “Source” ของฝุ่นมาจากไหนก็จะต้องเข้าไปแก้ที่ตรงนั้น อย่างในขณะนี้ฝุ่นในกรุงเทพฯที่เข้ามาเติม มาจาก “การเผา” ซึ่งเห็นเด่นชัดมากในช่วงระหว่างวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา ฝุ่นจากการเผาข้างนอกกรุงเทพฯที่ตรวจวัดได้จะเด่นมาก ฝุ่นที่เกิดเป็นปกติในกรุงเทพฯอยู่แล้ว (40-60 มคก./ลบ.ม.) จะไม่เด่น หมายถึงมันมีความแตกต่างไปในแต่ละแหล่ง แต่ละช่วงเวลา
“ตอนนี้เรารู้แล้วว่า ฝุ่นในปัจจุบันมาจากไหน ฝุ่นเดิมที่มีอยู่แล้วจากกิจกรรมขนส่ง การคมนาคม ก่อสร้าง รถควันดำที่ใช้น้ำมันดีเซล กับฝุ่นที่ลอยเข้ามาจากการเผา ปัญหาก็คืออำนาจหน้าที่ในการแก้ไขปัญหามันอยู่คนละกระทรวง คนละหน่วยงานกัน ดังนั้นการเข้าไปจัดการเรื่องฝุ่น ณ แหล่งกำเนิด “จึงไม่ใช่เรื่องง่าย” แม้จะดันเป็นวาระแห่งชาติ หรือวาระอาเซียน อย่างไรก็ตาม ถ้าหน่วยงานไม่มีการบูรณาการกัน ก็เป็นได้แค่ “ข้อสั่งการตามปกติ” ไม่มียุทธศาสตร์
“การเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งเป็นมาตั้งแต่ปี 2562 ในทางปฏิบัติจึงไม่ประสบความสำเร็จ จนกว่าทุกหน่วยงานจะเห็นปัญหาร่วมกันที่จะลดฝุ่น แต่ KPI ในการลดฝุ่นมันอยู่ตรงไหน หรือมีอยู่กระทรวงเดียว คือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่มันพอจะตรวจวัดได้ถึงผลของการปฏิบัติตามแผน แล้วกระทรวงอื่นล่ะ มันไม่มี KPI ไปตรวจวัดว่า คุณทำคุณลดฝุ่นในอำนาจหน้าที่ไปถึงไหนแล้ว ดังนั้นถ้าฝุ่นเป็นวาระแห่งชาติ ก็ควรที่จะทำ KPI ตรวจวัดทุกกระทรวง การดำเนินการลดฝุ่นจะต้องทำพร้อมกัน มีขั้นมีตอนมีแผนงาน อันไหนต้องทำล่วงหน้าก่อนฝุ่นมา อันไหนต้องทำไปพร้อม ๆ กัน ไม่ใช่ว่าพอค่าฝุ่นเกินกว่ามาตรฐานสีแดงก็เฮละโลทำกันไปหมด มาตรการบางอย่างก็ฝิดฝาฝิดตัว บางมาตรการก็ควรทำมาตั้งแต่ก่อนเข้าฤดูฝุ่นก็ไม่ทำ มาโหมทำกันตอนนี้ ยกตัวอย่าง การเผาเป็นเรื่องปกติที่เกษตรกรจะต้องเผา เพราะเป็นวิธีที่ถูกที่สุด ควรแบ่งช่วงเวลาในการเผา หรือการชิงเผาทำแนวกันไฟในป่า แต่นี่มาสั่งห้ามเผาเด็ดขาด ทั้ง ๆ ที่ควรทำกันล่วงหน้า สั่งห้ามเผาเด็ดขาดเพื่อต้องการลดฝุ่นจาก 100 ลงเหลือ 20-30 มคก./ลบ.ม. มันเป็นไปไม่ได้” รศ.ดร.สุรัตน์กล่าว
กทม.ขออำนาจเขตควบคุมมลพิษ
ล่าสุดมีรายงานข่าวเข้ามาว่า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เตรียมนำเสนอขออำนาจให้กรุงเทพมหานครประกาศ “เขตควบคุมมลพิษ” ได้เอง โดยการประกาศเขตจะสามารถเข้าถึงการใช้เงินจากกองทุนส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อบริหารจัดการปัญหาฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่าก่อนหน้านี้ กรุงเทพมหานครได้ออกประกาศ “เขตมลพิษต่ำ หรือ Low Emission Zone หรือ LEZ” เพื่้อควบคุมการเข้าออกของรถบรรทุกตั้งแต่ 6 ล้อขึ้นไปในช่วงวิกฤตฝุ่น โดยเขตดังกล่าวอ้างอิงเกณฑ์ปริมาณความเข้มข้นของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมโครกรัม ในบรรยากาศทั่วไป ค่าเฉลี่ย 75 มคก./ลบ.ม.
ในขณะที่เกณฑ์การประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ตามระเบียบกระทรวงการคลัง ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อยู่ที่ค่าเฉลี่ยในเวลา 24 ชม. ตั้งแต่ 150 มคก./ลบ.ม. ติดต่อกัน 5 วัน จึงมีความเป็นไปได้ว่า เขตควบคุมมลพิษ ที่ กทม.ขออำนาจออกประกาศเอง แทนที่จะเป็น คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ จะใช้เกณฑ์ที่ 75 มคก./ลบ.ม. เพื่อให้อำนาจ กทม.ให้มีการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดฝุ่นมลพิษในพื้นที่อย่างทันท่วงที แทนที่จะต้องรอการประสานงานจากหน่วยงานอื่น ๆ
ฤดูฝุ่นเคลื่อนขึ้นเหนือ
สำหรับสเต็ปต่อไป ฤดูฝุ่น PM 2.5 จะเคลื่อนไปยัง 17 จังหวัดภาคเหนือ ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมเป็นต้นไป เพราะจะเกิดการเผาในพื้นที่ การจัดการไฟป่าในรอบปี และการเผาข้ามแดนจากประเทศเพื่อนบ้าน ในส่วนนี้นอกเหนือไปจากการเฝ้าระวังพื้นที่ป่าแปลงใหญ่เสี่ยงเผาไหม้ 14 กลุ่มป่าแปลงใหญ่รอยต่อไฟ (Cluster) ในประเทศแล้ว จะต้องมาบริหารจัดการการเผาข้ามแดน ซึ่งต้องยอมรับว่าปีที่ผ่านมา ๆ ยังไม่มีการจัดการการเผาข้ามแดนอย่างเป็นรูปธรรมเกิดขึ้นเลย
“กระทรวงการต่างประเทศจะมีบทบาทสำคัญในการจัดการเรื่องการเผาข้ามแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน ต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์กันใหม่หรือเปล่า ปีนี้อาจไม่ทันแล้ว ยกตัวอย่าง ชวนหรือส่งเสริมประเทศเพื่อนบ้านปลูกพืชสวนที่มีการเผาน้อยได้หรือไม่ ดีกว่าจะไปบอกว่า คุณมี Hot Spot ตรงนี้นะ ให้ไปดับไฟ เพื่อนบ้านจะฟังคุณหรือไม่ หรืออย่างการบริหารจัดการขั้นเด็ดขาดกับบริษัทในประเทศของเราเองที่เข้าไปส่งเสริมการปลูกพืชไร่ ปลูกข้าวโพด ในประเทศเพื่อนบ้าน แล้วรับซื้อกลับเข้ามาในประเทศเพื่อเป็นวัตถุดิบอย่างนี้ ถ้าคุณรับซื้อพืชไร่ที่มาจากการเผา จะจัดการอย่างไร” รศ.ดร.สุรัตน์กล่าว
คุมเข้มข้าวโพดจากการเผา
ล่าสุด กรมการค้าต่างประเทศ ประชุมแนวทางการดำเนินการเพื่อลดปัญหา PM 2.5 ข้ามพรมแดนร่วมกับเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อรวบรวมข้อมูลความเห็นแนวทาง การกำหนดมาตรการในการควบคุม สำหรับการลดหรือการนำเข้าสินค้าเกษตร ที่มีกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการเผา แต่ต้องไม่เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ โดยที่ประชุมเห็นชอบ 2 มาตรการ คือ มาตรการบังคับการนำเข้าพืชเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์” ที่มีการนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านสูงถึง 2 ล้านตัน (ปี 2567) จากผู้นำเข้าประมาณ 82 ราย ด้วยการออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ ให้ผู้นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จะต้องแสดงเอกสารการนำเข้า ตั้งแต่แบบฟอร์มการแจ้งข้อมูลประกอบการนำเข้า เอกสารการรับรองจากหน่วยงานประเทศผู้ส่งออกว่า ข้าวโพดมาจากแหล่งการเพาะปลูกที่ไม่มีการเผา และภาพแผนที่แปลงเพาะปลูก
ส่วนอีกมาตรการหนึ่งเป็นมาตรการส่งเสริม ซึ่งจะใช้ในระหว่างที่ยังไม่มีมาตรการบังคับ โดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ เมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา จะรวบรวมรายชื่อผู้ส่งออกข้าวโพดจากเมียนมาที่ไม่ใช้วิธีการเผา เพื่อมาส่งต่อให้ผู้นำเข้าไทยมั่นใจและไปเจรจาธุรกิจซื้อขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ไม่ใช้วิธีการเผาได้ “ทั้ง 2 มาตรการยังเป็นแนวทางเท่านั้น เพราะจะต้องนำเสนอต่อ คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) ให้อนุมัติก่อน”
ด้านนายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย กล่าวว่า มาตรการที่จะนำมาบังคับใช้กรณีการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้านที่ปลอดการเผาเพื่อป้องกัน PM 2.5 โดยผู้นำเข้าจะต้องมีเอกสารประกอบการนำเข้า ทั้งแบบฟอร์มการแจ้งข้อมูลประกอบการนำเข้า ตามที่กำหนด เอกสารรับรองจากหน่วยงานผู้มีอำนาจอย่างเป็นทางการ (Competent Authority : CA) ของประเทศผู้ส่งออกนั้น “ผมเห็นด้วย และมองว่าเป็นเรื่องไม่ซับซ้อน สามารถดำเนินการได้ไม่มีปัญหา”
แต่สิ่งที่จะต้องชัดเจนและพิสูจน์ให้ได้ก็คือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่นำเข้าจากเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเมียนมา หรือ สปป.ลาว จะต้องเป็นข้าวโพดที่ปราศจากการเผาในพื้นที่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และมองว่า “ยังเป็นปัญหา และต้องใช้เวลาในการดำเนินการอีกสักระยะ”
นอกจากนี้ก็ต้องสามารถพิสูจน์ย้อนกลับให้ได้ว่า ข้าวโพดนำเข้าไม่มีการเผาจริง ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดก็จะต้องทำเหมือนกันทั้งข้าวโพดนำเข้าและข้าวโพดภายในประเทศ คาดว่าการดำเนินการคงจะสามารถทำได้ในฤดูการเก็บเกี่ยวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในฤดูกาลหน้า หรือจะอยู่ในช่วงปลายปี 2568 เพราะผลผลิตข้าวโพดในฤดูกาลปัจจุบันได้มีการเก็บเกี่ยวใกล้หมดแล้ว และอยู่ในสต๊อกของเกษตรกรหรือผู้นำเข้าและส่งออก อีกทั้งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนสิงหาคมของทุกปี เป็นช่วงที่อนุญาตให้นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อป้องกันผลกระทบราคาข้าวโพดภายในประเทศ
“การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้านจากนี้ยังคงเป็นไปตามกลไกปกติ และยังเชื่อว่าไม่มีผลกระทบต่อราคาหรือตลาดที่อาจจะเกิดภาวะช็อกจากมาตรการดังกล่าว เพราะมองว่ายังไม่สามารถดำเนินการได้ทันที คงจะต้องใช้ระยะเวลาการจัดการก่อน และการนำเข้าก็ยังมองว่าเพียงพอ ซึ่งผู้นำเข้าวัตถุดิบเพื่อผลิตอาหารสัตว์ยังมีข้าวสาลี วัตถุดิบอื่นที่นำมาผลิตตามมาตรการ 3:1 ได้”
อย่างไรก็ดี ส่วนมาตรการและบทลงโทษสำหรับผู้ที่ไม่ดำเนินการหรือการลักลอบนำเข้าข้าวโพดจากพื้นที่ที่มีการเผานั้น เป็นเรื่องที่หน่วยงานภาครัฐจำเป็นจะต้องดำเนินการเพื่อป้องกันคนที่กระทำผิดจึงต้องหามาตรการดูแลที่รัดกุมต่อไป
ขอตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดเพื่อนบ้าน
ด้านนายชัชวาลย์ ทองดีเลิศ ประธานสภาลมหายใจเชียงใหม่ กล่าวว่า การแก้ปัญหาฝุ่นควันในประเทศ “เป็นความไม่โปร่งใสมาโดยตลอด” โดยเฉพาะที่บอกว่า จะไม่ให้มีการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ปลูกในพื้นที่ป่า หรือพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ “ก็ไม่เป็นความจริง” เพราะข้าวโพดจากป่าได้ถูกนำลงมาโม่ในพื้นที่ด้านล่าง ซึ่งมีการรับซื้อกันเป็นปกติ โดยที่ไม่ได้มีมาตรการใด ๆ มาควบคุม ขณะที่ปัญหาฝุ่นควันข้ามแดนที่มีสาเหตุจากการเผาในพื้นที่เกษตรประเทศเพื่อนบ้านที่กลุ่มทุนข้ามชาติของไทยเข้าไปส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ก็ควรมีความโปร่งใสในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังเช่นเดียวกัน โดยสภาลมหายใจเชียงใหม่มีข้อเสนอต่อรัฐบาล ดังนี้
1) เสนอให้ตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้านที่ดูแลฝุ่นควันข้ามแดนโดยเฉพาะ ซึ่งคณะกรรมการต้องประกอบด้วยหลายฝ่าย อาทิ หน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน และภาคธุรกิจ โดยเป็นคณะกรรมการที่ร่วมทำงานแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างใหญ่ และต้องมีคณะกรรมการร่วม 2 ประเทศ ที่ร่วมดูแลและตรวจสอบสินค้าที่จะนำเข้าสู่ประเทศไทยโดยเฉพาะด้วย
2) ต้องมีการรายงานเส้นทางการรับซื้อสินค้าว่ามาจากพื้นที่การเผาหรือไม่ โดยมีมาตรการตรวจสอบย้อนกลับทั้ง 2 ฝ่าย คือ ไทยและเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเพื่อนบ้านต้องให้ข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา และสามารถตรวจสอบได้อย่างถูกต้องชัดเจน
3) ภายใต้ พ.ร.บ.อากาศสะอาด ผู้ก่อมลพิษจะต้องได้รับบทลงโทษ จึงต้องใช้มาตรการทางกฎหมายให้มีความเด็ดขาดและจริงจัง
4) รัฐบาลควรเจรจาอย่างตรงไปตรงมากับบริษัททุนข้ามชาติของไทย ที่เข้าไปลงทุนปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อควบคุมและกำกับ
และ 5) ควรใช้มาตรการในส่วนของตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยยกระดับมาตรการให้เข้มข้นมากขึ้น เพื่อควบคุมและดำเนินการกับบริษัททุนข้ามชาติที่เป็นผู้ก่อมลพิษ ด้วยเพราะธุรกิจมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมทั้งในฐานะผู้สร้างผลกระทบและผู้ที่ได้รับผลกระทบ ถือเป็นความรับผิดชอบของธุรกิจในมิติของสิ่งแวดล้อม
คุมเครื่องฟอกอากาศยังไม่กระทบผู้ผลิต
ล่าสุดมีรายงานข่าวเข้ามาว่า กระทรวงพาณิชย์เตรียมจะเสนอให้นำสินค้า “เครื่องฟอกอากาศ กับเครื่องดูดฝุ่น” เข้าที่ประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) พิจารณานำเป็นสินค้าควบคุม เพื่อกำกับดูแลไม่ให้มีการฉวยโอกาสขึ้นราคาหรือปรับราคาสูงขึ้นเกินสมควร ในช่วงที่มีความต้องการเพิ่มมากขึ้นจากการที่ประชาชนต้องซื้อไว้ใช้ป้องกันฝุ่น PM 2.5 นั้น
นายวรุตม์ เลขะจิระกุล ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาด บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด กล่าวว่า จะเป็นผลดีกับผู้บริโภคที่จะได้สินค้าราคาเหมาะสม โดยบริษัทจะไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากปกติที่ยืนราคาเป็นรายปี โดยการปรับราคาระหว่างทางแทบไม่เคยเกิดขึ้น เพราะจะกระทบกับร้านค้าที่ซื้อสินค้าไปรอจำหน่ายหรือที่สั่งซื้อแล้วรอการขนส่ง แต่อาจได้ผลบวกจากการแข่งขันที่ยุติธรรมขึ้น แต่ยังกังวลเรื่องรายละเอียดการกำหนดมาตรฐานราคา เนื่องจากเครื่องฟอกอากาศเป็นสินค้าที่มีความซับซ้อนสูง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ที่ครอบคลุม ประเภท-อายุใช้งานแผ่นกรอง ฟังก์ชั่นเสริมอย่างไวไฟ-ปล่อยประจุ ฯลฯ ทำให้การกำหนดมาตรฐานราคาอาจต้องใช้เวลานานมาก และจะต้องมีการเรียกผู้ประกอบการเข้าหารือก่อน
สอดคล้องกับความเห็นของ นายอำนาจ สิงหจันทร์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้ความเห็นว่า เบื้องต้นยังไม่มีการแจ้งจากหน่วยงานรัฐเข้ามา แต่หากเครื่องฟอกอากาศถูกกำหนดให้เป็นสินค้าควบคุมเชื่อว่า บริษัทไม่ได้รับผลกระทบ หากเป็นการควบคุมไม่ให้เกิดการฉวยโอกาสขึ้นราคา เพราะทางบริษัทมีราคามาตรฐานและราคาขายปลีกอยู่แล้ว และเครื่องใช้ไฟฟ้ามักไม่มีการขึ้นราคาหลังเปิดตัวไปแล้ว รวมถึงหากมีการควบคุมด้านมาตรฐานต่าง ๆ เพิ่มเติมจะยิ่งเป็นเรื่องดี
แต่ยังจะมีจุดที่น่ากังวล 2 ประเด็น คือ ระยะเวลาในการดำเนินการต่าง ๆ เมื่อเป็นสินค้าควบคุม เช่น การขอปรับราคาลงเพื่อระบายสต๊อกสินค้าหรือเพื่อจูงใจผู้บริโภค ซึ่งหากต้องใช้เวลานานจะส่งผลต่อการบริหารสต๊อกสินค้าและการรับมือการแข่งขันในตลาด อีกประเด็นจะเป็นรายละเอียดของการกำหนดมาตรฐานราคา เนื่องจากเครื่องฟอกอากาศเป็นสินค้าที่มีความซับซ้อนสูง และสินค้าทุกแบรนด์แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นขนาดพื้นที่ที่ครอบคลุม ประเภท-อายุใช้งานแผ่นกรอง ฟังก์ชั่นเสริมไวไฟ-ปล่อยประจุ ฯลฯ จึงต่างจากสินค้าควบคุมอื่น ๆ