
2 เจ้าสัวเมืองไทยส่องอนาคตเมืองไทย “ธนินท์” มองทุกวิกฤตมีโอกาส แนะวิธีแก้น้ำท่วม-ภัยแล้ง จี้รัฐโยกงบฯทำถนนสร้างชลประทานเก็บน้ำแทน ใช้ AI ช่วยพัฒนาเกษตร ยันเป็นน้ำมันบนดิน สร้างรายได้เข้าประเทศ 90% ขณะที่ “สารัชถ์” ปักธงพลังงานสีเขียว อัดงบฯลงทุน 5 ปีเฉียดแสนล้าน โหมธุรกิจเทครับเทรนด์โลก ทุ่มงบฯลุย “ดาต้าเซ็นเตอร์-เงินดิจิทัล” รอท่าภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ ฉวยจังหวะซื้อกิจการในอเมริการับทรัมป์
นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.) กล่าวบนเวที Chula Thailand Presidents Summit 2025 ในหัวข้อ Future Thailand : Next Growth ว่า เศรษฐกิจโลกรวมถึงประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุคการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็น ดิน ฟ้า อากาศ การเมือง และเทคโนโลยี ที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทและทดแทนการดำเนินงานต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว และการพัฒนาบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ เข้ามาใช้ AI เทคโนโลย เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกมหาวิทยาลัยจำเป็นจะต้องเร่งพัฒนาออกมาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลก
ซึ่งเรามองเศรษฐกิจดีมีการเปลี่ยนแปลง เพราะเมื่อเจอวิกฤต มันก็ย่อมมีโอกาส เมื่อเจอโอกาส เราก็จะต้องคำนึงว่าจะเจอวิกฤต ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้ราบรื่น จะต้องมีปัญหาหมุนเวียนกันเข้ามา ดังนั้น เป็นสิ่งที่เราต้องมองและมีการวางแผนรับมือ
แนะโยกงบฯถนนทำชลประทาน
เทคโนโลยี AI หุ่นยนต์ กำลังจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินธุรกิจและพัฒนาประเทศ ปัจจุบันจะพบว่าภาคเกษตรมีการใช้เทคโนโลยีเป็นจำนวนมาก โดยต้องยอมรับว่าไทยอยู่ในจุดที่ได้เปรียบ มีเพียงแค่ปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง ขณะที่ในหลายประเทศ เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน รวมถึงจีน เจอแผ่นดินไหว พายุไต้ฝุ่น ทั้งนี้ ภาครัฐจำเป็นจะต้องแก้ปัญหาและปฏิรูปในเรื่องนี้ โดยนำงบประมาณบางส่วน เช่น งบประมาณจากโครงการทำถนน เข้ามาปฏิรูปทำพื้นที่ชลประทาน โดยการสร้างชลประทานกักเก็บน้ำเพื่อใช้ในการเพาะปลูก
เพราะต้องยอมรับว่าเรายังไม่ดำเนินการจริงจัง หากเรามีชลประทานที่เพียงพอ ปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้งก็จะไม่เกิดขึ้น อีกทั้งจะทำให้ผลผลิตการทำเกษตรของเราเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า โดยการเพาะปลูกต่อปีเราสามารถทำได้ถึง 3 ครั้ง
“พืชทุกอย่างมีความต้องการใช้น้ำ รวมไปถึงผลไม้ กลุ่มปศุสัตว์ก็เช่นกัน”
ดึง AI ช่วยพัฒนาเกษตร
นอกจากนี้ นำเทคโนโลยี หุ่นยนต์เข้ามาพัฒนาภาคการเกษตร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ จะเห็นว่าภาคการเกษตร การหาพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ จะต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้และพัฒนา บริษัทในเครือ ซี.พี. เราให้ความสำคัญในการออกไปลงทุนในต่างประเทศ และประเทศนั้นจะต้องได้ประโยชน์ ประชาชนจะได้ประโยชน์ และบริษัทก็จะได้รับผลประโยชน์ บริษัทมีการนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นจำนวนมาก เราใช้โดรนในการสำรวจ พ่นยา ประเทศจีนเราใช้ถึง 100,000 ไร่ และรัสเซียเราใช้ถึง 7 แสนไร่
เพราะหากเราจะใช้คนเข้ามาตรวจสอบคงจะไม่เพียงพอ การนำเทคโนโลยี AI หุ่นยนต์เข้ามาใช้ในเรื่องของการเพาะปลูกเป็นสิ่งสำคัญ ช่วยลดต้นทุนการผลิตด้วย
“สินค้าเกษตรถือว่าเป็นน้ำมันบนดิน สามารถเก็บเกี่ยวได้ตลอดทั้งปี เป็นทรัพย์สินของประเทศที่ใช้ยังไงก็ไม่หมด และเป็นพืชสำคัญของประเทศและเป็นสินค้าเกษตรที่สร้างรายได้ให้กับประเทศ 90%”
ดึง 5 ล้านคนเก่งมาทำงานที่ไทย
นอกจากนี้ พบว่าประชากรมีน้อยลงทุกปี อยากจะฝากมหาวิทยาลัยการศึกษา ทำอย่างไรให้คนอายุ 18 ปีจบมหาวิทยาลัยได้ โดยให้นักศึกษาสามารถเรียนและทำงานไปด้วย อีกทั้งยังเห็นว่าประเทศไทยยังขาดคนเก่งเข้ามาทำงาน และทำอย่างไรให้สามารถดึงคนเก่งเข้ามาในประเทศได้ ซึ่งเห็นว่าน่าจะนำคนเก่งเข้ามา 5 ล้านคน คิดเป็น 7-8% เพราะเราคงสร้างไม่ทัน จะเห็นได้ว่าสิงคโปร์ดึงคนเก่งเข้ามาถึง 2.5 ล้านคน เข้ามาทำงาน เราจะทำอย่างไรให้นำคนเหล่านี้เข้ามาทำงาน มาเสียภาษี เพราะการจะผลิตนักศึกษาขึ้นมา องใช้ระยะเวลานาน อย่าง 5 แสนคนก็ต้องใช้เวลากว่า 10 ปี
“ไม่ต้องกังวลว่าต่างชาติจะเข้ามาแย่งอาชีพคนไทย แต่เราควรจะมองว่าเรายังขาดอาชีพอะไรและต้องการที่จะนำเข้ามาทำอะไร เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศ นอกจากนี้ในเรื่องของกฎหมายจำเป็นจะต้องเอื้อให้มากขึ้น ขณะเดียวกันรัฐบาลก็มีหน้าที่ที่จะเข้ามาดูแลทำอย่างไรในการออกกฎเกณฑ์ และการยกระดับให้ประชาชนอยู่ดี กินดี หากทำได้ โอกาสที่จะเห็นค่าแรง 600 บาทก็เป็นไปได้”
กัลฟ์ปักธงพลังงานสีเขียว
นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานสัมมนา “Chula Thailand Presidents Summit 2025” จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้หัวข้อ “Future Thailand : Energizing Society” ว่า ในช่วงระยะเวลา 30 กว่าปีที่ผ่านมา คนมักจะชอบโรงไฟฟ้าถ่านหิน เพราะเป็นโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนถูกที่สุด กัลฟ์จึงเริ่มธุรกิจจากโรงไฟฟ้าถ่านหินที่บ่อนอก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ก่อน
แต่ถูกต่อต้านจากประชาชนและสังคมค่อนข้างเยอะ เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะ กัลฟ์ใช้ระยะเวลาถึง 4 รัฐบาล แต่ก็ไม่ได้สร้างประโยชนให้เกิดขึ้น
หลังจากนั้นมีการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน เชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติมีบทบาทมากขึ้น ปตท.เป็นผู้เล่นหลัก ขนส่งก๊าซมาจากเมียนมา มาเลเซีย ผ่านทางท่อเป็นหลัก ซึ่งเราโชคร้ายที่ไม่ค่อยมีทรัพยากรในการผลิตไฟฟ้ามากนัก ทำให้ก๊าซธรรมชาติเข้ามามีบทบาทในไทย เพิ่มความมั่นคงทางไฟฟ้า ประกอบกับมีราคาถูก เพิ่งจะมีความผันผวนทางด้านราคาในช่วงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ขณะเดียวกันก็มีการเปลี่ยนแปลงทางพลังงานเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในตอนนั้นเรามีการทำโซลาร์ ลม แต่ราคาสูงมากประมาณ 10-20 บาทต่อหน่วย ก็ยังไม่คุ้ม แต่ตอนนี้ราคาเหลือเพียง 2-3 บาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงไปของโลกที่ต้องการพลังงานสะอาดและถูกพร้อม ๆ กัน
“เราต้องเน้นพลังงานหมุนเวียน พลังงานสีเขียวมากขึ้น เพราะเป็นเทรนด์ของโลก รวมถึงคาร์บอนเครดิต ซึ่งอนาคตประเทศไทยต้องการพลังงานสีเขียวมากขึ้น ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ ลม คาดว่าต้นทุนก็จะถูกลงเรื่อย ๆ เชื่อว่าการที่นายกรัฐมนตรีพูดถึงการลดค่าไฟฟ้าเชื่อว่าก็สามารถทำได้ ช่วยให้ต้นทุนถูกลงได้ ประชาชนก็จะมีเงินจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันมากขึ้นด้วย”
ทั้งนี้ กัลฟ์ลงทุนในต่างประเทศค่อนข้างเยอะ เรามองว่าการไปลงทุนต่างประเทศถือเป็นโอกาสในการดูการเปลี่ยนแปลง ในอดีตเราไม่สามารถทำพลังงานลมในทะเลที่แรงได้ แต่ในปัจจุบันสามารถทำได้และราคาถูกลง ซึ่งเราก็พยายามนำความรู้เหล่านั้นมาพัฒนาในไทย ความต้องการใช้พลังงานสะอาดมาก เช่น ช่วงโควิด เราไปซื้อโรงงานพลังงานลม กำลังการผลิตประมาณ 5,000 เมกะวัตต์ ในประเทศเยอรมนี นอกจากนี้ยังลงทุนโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในชิคาโก สหรัฐอเมริกา และลงทุนพลังงานลมที่ North Sea ประเทศอังกฤษ กำลังการผลิต 1,500 เมกะวัตต์
รุกซื้อโรงไฟฟ้าเมการับทรัมป์
นายสารัชถ์กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม กัลฟ์จะมีการลงทุนในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุนในสหรัฐอเมริกา จากนโยบายของทรัมป์ที่สนับสนุนฟอสซิลมากขึ้น ซึ่งกัลฟ์ถือว่าสหรัฐเป็นตลาดใหญ่ กัลฟ์มีการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าที่ชิคาโกอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงที่จะขยายการลงทุน อาจจะเป็นการลงทุนแบบควบรวมกิจการ ซึ่งเป็นแนวทางที่ดีและรวดเร็ว แต่ละโรงขนาดหลักพันเมกะวัตต์ ส่วนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มองว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ มีหลายประเทศเริ่มนำมาใช้ค่อนข้างเยอะ ขณะที่ประเทศไทยก็กำลังศึกษาอยู่ แต่มองว่าน่าจะเป็นเรื่องของรัฐบาลมากกว่า เอกชนไม่ควรลงทุน เพราะมีเงื่อนไขค่อนข้างเยอะ และรัฐสามารถเข้ามาบริหารจัดการได้ดีกว่าเอกชน นอกจากนี้ เราก็มีพาร์ตเนอร์ลงทุนในต่างประเทศด้วย
“สำหรับธุรกิจในปีนี้สัดส่วนการลงทุนในกลุ่มธุรกิจฟอสซิลจะน้อยลง แต่จะเน้นพลังงานสีเขียวมากขึ้น รวมถึงขยายลงทุนต่างประเทศ ซึ่งใช้เงินลงทุนค่อนข้างเยอะ เนื่องจากจะมีการลงทุนในธุรกิจ Data Center ส่วนการลงทุนในต่างประเทศ ตอนนี้กัลฟ์ทำโรงไฟฟ้าลมในนอร์ทซี ประเทศอังกฤษ มีขนาดใหญ่พอสมควร เงินลงทุนคาดว่าน่าจะหลายหมื่นล้านบาท”
สยายปีกธุรกิจเทคเพื่ออนาคต
นายสารัชถ์กล่าวว่า กัลฟ์พยายามตามเทรนด์ของโลก พยายามหาธุรกิจใหม่ที่ตอบสนองธุรกิจในปัจจุบันและอนาคต ด้วยในปัจจุบันเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลง ธุรกิจหลายประเภทต้องปรับตัว ในอนาคตธุรกิจ Data จะมีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น รวมถึงการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่ตอบโจทย์โลกอนาคต อย่างเช่น การเข้าไปลงทุนในบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เนื่องจาก Performance ดี ผู้บริหารดี และตอบโจทย์ในระยะยาว นำไปสู่โลกอนาคตได้ และเน้นหนักที่ดาต้าเซ็นเตอร์ โดยกัลฟ์จะมีขยายการลงทุนเพิ่มอีกหลายโครงการ โดยร่วมกับเอไอเอส และสิงเทล เหมือนเดิม
“ในอดีตคนมองว่า ธุรกิจเทเลคอมเป็นแค่เรื่องของมือถือ แต่ปัจจุบันผมคิดว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานอย่างหนึ่ง เพราะมี Data ที่ใช้ค่อนข้างเยอะ นั่นเป็นสาเหตุที่เราเข้าไปลงทุนและรายได้ค่อนข้างดี”
ขณะที่เรื่องของบิตคอยน์ และคริปโตก็มีการพูดถึงค่อนข้างเยอะ เดิมไม่ได้สนใจมากนัก แต่เมื่อมาถึงจุดที่เป็นที่นิยมและคนพูดถึงเยอะ ถ้าเราไม่เข้าไปเกี่ยวข้องเลยก็ลำบาก จึงพยายามหาพาร์ตเนอร์เข้ามาลงทุน จึงได้เข้าไปร่วมทุนกับ Binance เปิดแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในเมืองไทย ขณะที่รัฐบาลเองก็อยากทำภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ คริปโตขึ้นมา ถ้าเราไม่เกี่ยวข้องเลย เราก็ขาดความรู้ ถ้าภูเก็ตทำได้จะกลายเป็น Tech Hub และ Digital-Crypto Hub ของเอเชีย
เพราะชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวอยู่เยอะ สามารถใช้ซื้อของทั่วไป การโอนเงินเข้า-ออกถูกกว่าธนาคาร ในอนาคตก็สามารถใช้จ่ายซื้อบ้าน ซื้อรถได้ ภูเก็ตก็จะกลายเป็น Blockchain ของเอเชียได้
5 ปีอัดเงินลงทุนเกือบแสนล้าน
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2568 ตั้งงบฯลงทุนไว้ 20,000-30,000 ล้านบาท ขณะที่งบฯ 5 ปี เกือบ 1 แสนล้านบาท เน้นพลังงานสะอาด เช่น โซลาร์ ลม และเขื่อน ราว 80% โดยกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าปีนี้ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าหินกอง เฟส 2 กำลังผลิตรวม 770 เมกะวัตต์ ดำเนินการเชิงพาณิชย์ไปแล้วเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
นอกจากนี้ มีโซลาร์และโซลาร์แบตเตอรี่ ปลายปีนี้จะเปิดอีก 7 โครงการ และโซลาร์รูฟท็อปที่ทยอยดำเนินการ รวม ๆ แล้วประมาณ 1,500 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ยังมี Data Center ประมาณ 25 เมกะวัตต์อยู่แล้ว จะทยอยเปิดครบภายในปีนี้ คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ราว 2-3 พันล้านบาท และจะขยายร่วมกับ AIS-SINGTEL อีกประมาณ 35 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี สามารถรองรับ CPU, Hyperscaler ขนาดใหญ่ได้ คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2569