
สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย จี้พาณิชย์ตั้งวอร์รูมรับมือ ‘ทรัมป์ 2.0’ คาด เม.ย. ไทยโดนขึ้นภาษีแน่-ลั่นส่งออกไตรมาส 1 ยังไม่น่าห่วงโตดี 2-3%
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยถึงการส่งออกของไทยในปี 2567 ว่า ไทยสอบผ่านสามารถผลักดันส่งออก ทะลุเป้าหมายไปถึง 5.4% เกินเป้าหมายเดิมที่ 1-2% ส่วนปี 2568 คาดการณ์ส่งออกจะเติบโตได้ 1-3% มีมูลค่า 305,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ว่าจะเติบโตได้ 2-3%
สำหรับช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ คาดว่าการส่งออกจะยังเติบโตได้ดี ไม่น่าเป็นห่วง จะขยายตัวได้ 2-3% มีมูลค่าส่งออกราว 72,500 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากไทยยังไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐ และแม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะทยอยประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจีน 10% และแคนาดา 25% เริ่มตั้งแต่ 4 ก.พ. 2568 แต่ยังถือว่าเป็นข่าวดี เพราะมาตรการยังไม่เข้มข้นมาก เป็นการทยอยขึ้นภาษีแบบค่อยเป็นค่อยไป และที่สำคัญสหรัฐอเมริกาเปิดช่องให้มีการเจรจาได้ ทำให้ไทยยังไม่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐ
“ในระยะสั้นช่วงไตรมาสแรกที่ไทยยังไม่ถูกขึ้นภาษีนำเข้า ไทยอาจจะได้ประโยชน์จากการขึ้นภาษี จีน แคนาดา และเม็กซิโก โดยไทยจะสามารถส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐได้มากขึ้น โดยสามารถส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ไปสหรัฐทดแทนตลาดจีนและเม็กซิโก รวมทั้งชิ้นส่วนยานยนต์ นอกจากนี้ ไทยยังจะได้อานิสงส์จากการย้ายฐานการลงทุนจากจีนมาไทยด้วย”
นายชัยชาญกล่าวว่า ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีนี้เป็นต้นไปการส่งออกของไทยจะมีความท้าทายสูง สิ่งที่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สุดคือมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากเป็นตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดของไทย ครองส่วนแบ่งมากถึง 17% โดยในปี 2567 เติบโตมากถึง 13.7% ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าสหรัฐอเมริกาอาจจะประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยตั้งแต่เดือน เม.ย. 2568 เป็นต้นไป
สินค้าที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบคือ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์, เครื่องจักรกล, เม็ดพลาสติก และยางล้อรถยนต์
นอกจากนี้ ภาคการผลิตทั่วโลกยังไม่ฟื้น สะท้อนจากดัชนีภาคการผลิต (Manufacturing-PMI) ของจีน และสหภาพยุโรป ที่ยังไม่ฟื้นตัว, ยังมีปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ที่ยังไม่มีข้อยุติทั้งรัสเซีย-ยูเครน และสถานการณ์ในตะวันออกกลาง และค่าเงินบาทที่ยังคงมีความผันผวน จากนโยบายการค้าของสหรัฐ ล้วนเป็นปัจจัยที่ไทยต้องเฝ้าระวัง
“ภาครัฐและเอกชนควรจะต้องทำงานใกล้กันมากขึ้น สรท. ขอเสนอให้กระทรวงพาณิชย์จัดตั้งวอร์รูม เกาะติดมาตรการสงครามการค้าของสหรัฐหรือ ทรัมป์ 2.0 ให้เร็วสุด และตั้งคณะทำงานพิเศษขึ้นมาดูแลเฉพาะ ประชุมร่วมกันทุก ๆ เดือน เพื่อกำหนดกลยุทธ์ การทำงานและรับมือกับปัญหาดังกล่าวให้เป็นแบบหนึ่งเดียวทั้งภาครัฐเองและเอกชน วางจุดยืนไทยให้ชัดเจน
โดยเฉพาะแนวทางการเจรจาหลังสหรัฐประกาศมาตรการกับไทย ขณะที่เราเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วในการเตรียมความพร้อมของไทยในการรับมือก่อนที่สหรัฐจะขึ้นภาษีไทยในเดือน เม.ย. หากรัฐบาลยังล่าช้าอาจกระทบต่อเป้าหมายการส่งออกปี 2568 ของกระทรวงพาณิชย์ที่ตั้งไว้ที่ 2-3%”
นายชัยชาญกล่าวว่า นอกจากนี้ไทย ควรถอดบทเรียนการขึ้นภาษีกับกลุ่มประเทศแรก คือ จีน และแคนาดา ว่าไทยจะมีแนวทางรับมืออย่างไร ซึ่งในส่วนของ สรท. ได้วางมาตรการรับมือในเชิงลึก เพื่อชะลอผลกระทบเบื้องต้นไว้แล้ว 14 แนวทาง
เช่น การวางตัวเป็นกลางทางการค้า ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน, เสริมสร้างความแข็งแกร่งของซัพพลายเชน และโลจิสติกส์, การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน โดยเฉพาะต้นทุน และนวัตกรรม, การเดินหน้ารุกตลาดใหม่ ทั้งอินเดีย และตะวันออกกลาง รวมถึงส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเขตการค้าเสรี หรือ FTA ที่มีอยู่ ให้เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม สรท. มีข้อเสนอแนะที่สำคัญ ขอให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดให้มีการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและภาคเอกชน กระทรวงพาณิชย์ (กรอ.พณ.), จัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
อาทิ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้า การโปรโมตสินค้าในรูปแบบออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มที่มีชื่อเสียงระดับโลก รวมถึงการจัดคณะผู้แทนทางการค้าไปเยือนประเทศคู่ค้าสำคัญ, เร่งเจรจาการค้าเสรีและจัดทำข้อตกลงความร่วมมือทางการค้ากับคู่ค้าสำคัญ, ส่งเสริมการลงทุนของไทยในประเทศเป้าหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการกีดกันทางการค้า และเร่งประสานความร่วมมือดำเนินการแก้ไขปัญหาการจราจรแออัดภายในท่าเทียบเรือแหลมฉบังโดยด่วน