
ไทยเร่งแก้ปัญหาสหรัฐไล่บี้ขึ้นภาษีประเทศคู่ค้า ติดต่อ “ล็อบบี้ยิสต์” ช่วยเป็นตัวกลางเจรจา หลัง “ทรัมป์” เชือด 3 ประเทศแรก “แคนาดา-เม็กซิโก-จีน” โดยปี 2567 สหรัฐเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ไทยได้ดุลการค้ากว่า 1 ล้านล้านบาท ด้าน “พิชัย” รมว.พาณิชย์ บินไปสหรัฐร่วมงานใหญ่ที่วอชิงตัน เจรจาโอกาสทางการค้าต่อเนื่อง สภาส่งออกทางเรือหวังพิชัยไปเที่ยวนี้ได้ผลดี เสนอกลับมาแล้วจัดประชุมร่วมรัฐ-เอกชน รับมือเอกชนไทยจับตาใกล้ชิดนโยบายขึ้นภาษี กังวลคิวต่อไปเป็นประเทศกลุ่ม BRICS และอาเซียน โดยเฉพาะไทย-เวียดนาม เพราะส่งออกไปสหรัฐจำนวนมาก แถมได้ดุลการค้าสูง
จากกรณีศึก “เทรดวอร์” เมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศขึ้นภาษีกลุ่มประเทศแรกหลังเข้ารับตำแหน่ง ประกอบด้วย แคนาดา-เม็กซิโก 25% และจีน 10% เพื่อแก้ปัญหาดุลการค้า รวมถึงใช้เป็นเครื่องมือต่อรองในการเจรจาด้านต่าง ๆ ในวันที่ 4 ก.พ. 2568 แต่ต่อมามีคำสั่งเลื่อนขึ้นภาษีแคนาดา-เม็กซิโกไปอีก 30 วัน ก่อนที่จะมีผลบังคับใช้เพียงไม่กี่ชั่วโมง
ส่วนจีนยังคงเก็บภาษีตามประกาศเดิม ทำให้จีนตอบโต้สั่งขึ้นภาษีสินค้าบางชนิดจากสหรัฐ 10-15% เช่น ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติเหลว อุปกรณ์ทางการเกษตร และรถยนต์ มีผลวันที่ 10 ก.พ.นี้ ขณะที่ไทยและอีกหลายประเทศที่ได้ดุลการค้าจากสหรัฐกังวลว่าจะถูกขึ้นภาษีเป็นประเทศถัดไปนั้น
ติดต่อล็อบบี้ยิสต์เจรจาสหรัฐ
รายงานข่าวแจ้งว่า หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นรับตำแหน่ง พร้อมประกาศขึ้นภาษีแคนาดา เม็กซิโก และจีน เป็นกลุ่มประเทศแรก ทำให้หลายประเทศโดยเฉพาะไทยที่ได้ดุลการค้าสหรัฐจำนวนมาก เกิดความกังวลว่าจะถูกขึ้นภาษีในรอบถัดไป จึงพยายามหาทางเจรจากับทางการสหรัฐ โดยรัฐบาลไทยติดต่อกลุ่มล็อบบี้ยิสต์ เพื่อพูดคุยในกรณีดังกล่าวมาพักใหญ่
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับการเจรจาต่อรองต่าง ๆ ในเรื่องนโยบาย หรืออื่น ๆ ประเทศสหรัฐมีธรรมเนียมว่าส่วนใหญ่ต้องติดต่อผ่านล็อบบี้ยิสต์ ที่มีเครือข่ายกว้างขวางในกลุ่ม สส.-สว. รวมถึงทุนใหญ่แวดวงต่าง ๆ เมื่อไทยต้องการเจรจาในกรณีภาษี จึงต้องติดต่อผ่านล็อบบี้ยิสต์ เช่นเดียวกับหลาย ๆ ประเทศที่อยู่ในข่ายถูกสหรัฐเพ่งเล็งกรณีเกินดุลการค้า
พิชัยบินสหรัฐร่วมงานใหญ่
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 4-8 ก.พ. 2568 จะนำคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์เยือนกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา เพื่อกระชับและส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับรัฐบาลและภาคเอกชนสหรัฐ ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างโอกาสด้านการค้า การลงทุน
ได้รับเชิญเข้าร่วมงาน National Prayer Breakfast 2025 ที่โรงแรม The Washington Hilton ซึ่งเป็นงานสำคัญที่จัดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2496 โดยมีผู้นำระดับสูง รวมถึงประธานาธิบดีสหรัฐเข้าร่วมเป็นประจำ เป็นโอกาสสำคัญในการสร้างเครือข่าย และแลกเปลี่ยนนโยบายด้านเศรษฐกิจกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐ เช่น สมาชิกสภาคองเกรส รัฐมนตรี ภาคเอกชน และผู้นำจากนานาชาติ
นอกจากนี้ จะพบกับผู้นำธุรกิจสหรัฐ เช่น หอการค้าสหรัฐ (USCC), สภาธุรกิจอาเซียน-สหรัฐ (USABC) และบริษัทชั้นนำอย่าง Google เพื่อขยายตลาดส่งออกสินค้าไทยและผลักดันให้บริษัทสหรัฐขยายการลงทุนในไทย พร้อมหารือแนวทางแก้ไขอุปสรรคทางการค้าระหว่างสองประเทศ
เจรจาหาโอกาสทางการค้า
“การเยือนครั้งนี้เป็นกลยุทธ์ในการเจรจาเชิงรุกเพื่อรักษาโอกาสทางการค้าให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันในตลาดสหรัฐได้อย่างยั่งยืน ตลอดจนเสริมสร้างความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ไทย-สหรัฐ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และก่อนเดินทางได้พบหารือกับนายโรเบิร์ต เอฟ. โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย เพื่อรับคำแนะนำในการเข้าเจรจาหารือด้านการค้าการลงทุนกับกลุ่มบุคคลสำคัญต่าง ๆ ในสหรัฐอีกด้วย”
นายพิชัยกล่าวอีกว่า จะใช้โอกาสนี้ซึ่งจะได้พบปะกับผู้นำและเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากทั่วโลก เน้นย้ำถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทยภายใต้การนำของรัฐบาลนายกฯแพทองธาร ว่าเป็นบวกต่อเนื่อง เห็นได้จากตัวเลขการส่งเสริมการลงทุนปี 2567 สูงถึง 1.13 ล้านล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปี
เผยไทยส่งออกมะกันอันดับ 1
ส่วนมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น 5.4% หรือกว่า 10.5 ล้านล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ โดยในปีนี้กระทรวงพาณิชย์คาดว่าการส่งออกจะขยายตัวอีก 2-3% ทั้งมุ่งมั่นสนับสนุนผู้ประกอบการไทยทุกระดับ ตั้งแต่รายใหญ่จนถึงผู้ค้ารายย่อยให้สามารถขยายตลาดต่างประเทศได้มากขึ้น พร้อมผลักดันการค้าและการลงทุนไทย-สหรัฐให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
สำหรับสหรัฐเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของไทยในปี 2567 ด้วยมูลค่าการค้ารวมกว่า 74,484.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสหรัฐเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย คิดเป็น 54,956.21 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ครอบคลุมสินค้าหลัก เช่น คอมพิวเตอร์ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณี รถยนต์ และเครื่องปรับอากาศ ขณะที่ไทยนำเข้าสินค้าจากสหรัฐมูลค่า 19,528.61 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เช่น น้ำมันดิบ เครื่องจักรกล และเคมีภัณฑ์ ส่งผลให้ไทยได้เปรียบดุลการค้า 35,427.60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
กสิกรฯ ชี้ไทยโดนทางตรง-อ้อม
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มเดินหน้ามาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ โดยเป้าหมายกลุ่มแรกอยู่ที่แคนาดา เม็กซิโก และจีน ซึ่งการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐในรอบนี้เป็นเครื่องมือที่มีขอบเขตมากกว่าการค้า โดยใช้ต่อรองประเทศคู่ค้าให้ยอมเจรจาตามเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อสหรัฐมากขึ้น
สหภาพยุโรป เวียดนาม รวมถึงไทย มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกใช้เครื่องมือภาษีนำเข้าเพื่อต่อรองผลประโยชน์กับสหรัฐในลำดับถัดไป ซึ่งดูจากยอดมูลค่าการขาดดุลการค้าของสหรัฐ และสัดส่วนการพึ่งพิงตลาดส่งออกสหรัฐ เทียบกับ Nominal GDP
ผลกระทบต่อประเทศไทยนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ไทยมีแนวโน้มเผชิญผลกระทบโดยตรงจากการส่งออกไทยไปสหรัฐที่ลดลง และผลกระทบทางอ้อมจากการส่งออกไปตลาดโลกได้น้อยลง จากการแข่งขันกับสินค้าจีนในตลาดโลกที่รุนแรงขึ้น รวมถึงการส่งออกไทยไปจีนที่คาดว่าจะลดลงในกลุ่มที่มีความเกี่ยวเนื่องกับห่วงโซ่อุปทานการผลิตของจีน ซี่งสินค้าที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากสุด ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ยาง เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น
ตลาดหุ้นเจอความเสี่ยงใหญ่
ด้าน ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (ASP) และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนในตลาดทั่วโลกปีนี้จะเป็นปีที่เผชิญกับความเสี่ยงครั้งใหญ่ที่เพิ่มขึ้นมาจากเรื่องของสงครามการค้ารอบใหม่ของสหรัฐ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงด้านอื่น ๆ ตามมาได้ ท่ามกลางสถานการณ์โลกไม่แน่นอนในระยะข้างหน้า ล้วนสร้างแรงกดดันตลาดเงินและตลาดทุนมีความผันผวนรุนแรงมาก
“ปีนี้จะเป็นปีที่การลงทุนในตลาดไหน ๆ ก็ยากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยสาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปั่นป่วน คงหนีไม่พ้นการกลับมาของทรัมป์ โดยลักษณะของทรัมป์เป็นคนที่ช่างเจรจาต่อรอง และมองผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก ซึ่งต้องติดตามว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อบ้าง”
คาด “BRICS-อาเซียน” คิวต่อไป
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า Trade War มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยค่อนข้างแรง และเป็นสาเหตุทำให้หุ้นปรับลดลง เมื่อวันที่ 3 ก.พ. ซึ่งมีนัยสำคัญพอสมควร หากดูโครงสร้างเศรษฐกิจในไทยในยุคทรัมป์ 1.0 ประเทศไทยพึ่งพิงภาคการส่งออกประมาณ 70-75% และในยุคทรัมป์ 2.0 ประเทศไทยยังพึ่งพิงภาคการส่งออกประมาณ 70% เท่าเดิม
สหรัฐเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน เม็กซิโก และแคนาดาแล้ว เป้าถัดมาคือกลุ่มประเทศ BRICS และอาเซียน โดย IMF คาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2568 ในยุคทรัมป์ 2.0 มี Downside 0.4-0.6% โดยในส่วนของประเทศไทยคาดการณ์ว่าหากถูกผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 คาด GDP ปีนี้จะโตได้เพียง 2.6%
“Trade War กระทบตลาดหุ้นไทยได้ 2 มุมคือ 1.หากไทยถูกตั้งกำแพงภาษีสินค้า จะทำให้ส่งออกได้น้อยลง ซึ่งเศรษฐกิจไทยพึ่งพิงการส่งออกถึง 70% ต่อ GDP 2.ประเทศจีนถูกตั้งกำแพงภาษี สินค้าส่งออกของจีนที่สูงก็จะมาดัมพ์ตลาดภูมิภาครวมถึงประเทศไทยด้วย”
ส.อ.ท.กังวลกระทบยานยนต์
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่ม และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ไทยส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปและชิ้นส่วนยานยนต์ไปยังกลุ่มประเทศอเมริกาเหนือราว ๆ 9% ของยอดส่งออกทั้งหมด การประกาศขึ้นภาษีแคนาดาและเม็กซิโก ไทยน่าจะได้รับผลกระทบในภาพรวมการส่งออกบ้าง แต่ยังไม่สามารถประเมินได้ว่ามากน้อยขนาดไหน
สรท.ห่วงภาษีสหรัฐทุบไทย
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า จากการติดตามข่าว เชื่อว่าไทยมีโอกาสถูกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐ ซึ่งประเมินว่าจะเห็นภาพที่ชัดเจนในเดือนเมษายนนี้ ดังนั้น ไทยควรฉวยโอกาสช่วงนี้เจรจาและทำความเข้าใจกับสหรัฐก่อน
สินค้าที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบและเป็นสินค้าอ่อนไหว เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยางพารา ซึ่งหากมีการเรียกเก็บจะส่งผลกระทบต่อภาพการส่งออกในทันที เพราะสินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าอุตสาหกรรมและมีการเกินดุลกับสหรัฐ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าขณะนี้แม้สหรัฐจะประกาศแต่ก็ยังสามารถเจรจาได้ จึงเป็นสิ่งที่หน่วยงานของภาครัฐจำเป็นจะต้องเร่งประชุมหารืออย่างเร่งด่วน เพราะหากล่าช้าการส่งออกของไทยในช่วงไตรมาส 2 เป็นต้นไปจะลำบากขึ้น
หนุนประชุมรัฐ-เอกชนรับมือ
นอกจากนี้ ยังคาดหวังว่านายพิชัย ซึ่งจะเดินทางเยือนสหรัฐจะมีข่าวดี และคาดหวังว่าหลังจากกลับมาจะจัดประชุมร่วมภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมหารืออย่างเร่งด่วน โดยเน้นหารือทรัมป์ 2.0 พร้อมกันนี้ สรท.เตรียมเสนอ 14 ประเด็นเข้าหารือ อาทิ การเป็นกลางชาติการค้า เสริมสร้างความแข็งแกร่งซัพพลายเชน ยกระดับเกษตร อุตสาหกรรมต้นน้ำ เป็นต้น
ทั้งนี้ สรท.มีข้อเสนอแนะที่สำคัญในการผลักดันส่งออก เช่น เร่งรัดประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและภาคเอกชน กระทรวงพาณิชย์ (กรอ.พณ.) รายเดือน หรือรายไตรมาส เพื่อติดตามสถานการณ์ระหว่างประเทศ, จัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง, เร่งเจรจาการค้าเสรีและจัดทำข้อตกลงความร่วมมือทางการค้ากับคู่ค้าสำคัญ รวมถึงเร่งเจรจาทวิภาคีกับสหรัฐอเมริกา เพื่อรักษาผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างทั้งสองประเทศ เป็นต้น