TDRI ชี้ทรัมป์ป่วนโลกได้แค่ 4 ปี พลังงานสะอาดยังเป็นคำตอบสุดท้าย

TDRI
ดร.กิริฎา เภาพิจิตร
สัมภาษณ์

“ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์ ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัย นโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา ผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ถึงปัญหา ความท้าทายของเศรษฐกิจไทยและการค้าโลก จากผลกระทบทรัมป์ 2.0 สงครามการค้า ท่ามกลางปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ตลอดจนการไปสู่พลังงานสะอาดของโลก

ปีนี้ส่งออกลดแต่ลงทุนเพิ่ม

สำหรับความท้าทายใหญ่ของไทยในปีนี้ แน่นอนว่าความท้าทายแรก จะมาจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา ภายใต้นโยบายทรัมป์ 2.0 ทั้งสงครามการค้า การส่งออกปีนี้อาจจะโตน้อยกว่าปี 2567 ที่โตประมาณ 5% ปีนี้อาจจะได้ประมาณ 1-2% ช่วงแรกอาจจะทดแทนสินค้าจีนในสหรัฐได้ก่อนเล็กน้อย แต่ไม่น่าจะโตได้เยอะ

ความท้าทายที่สองคือ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ สภาพอากาศแปรปรวนกระทบภาคการเกษตร อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว แต่ก็ยังมีด้านบวกเมื่อโลกมีความไม่แน่นอน ยังมองว่าการลงทุนในไทยยังคงไปได้ต่อเนื่องและเพิ่มขึ้น เพราะไทยพยายามวางตัวตรงกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แล้วเราก็พยายามเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดด้วย ซึ่งสะท้อนจากตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งจำนวนโครงการ และมูลค่าเงินลงทุน ซึ่งเป็นยอดจำนวนโครงการที่สูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบีโอไอ และมีมูลค่าเงินลงทุน 1,138,508 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปี

ชี้ทรัมป์ทำการค้าโลกปั่นป่วน

จากนโยบายทรัมป์ 2.0 กระทบเศรษฐกิจไทยโดยตรงในเรื่องของการค้า สหรัฐจะขึ้นกำแพงภาษีทุกประเทศ รวมถึงไทย ประเทศใหญ่ ๆ ก็จะตอบโต้ส่งผลให้เกิดสงครามการค้า เช่น ยุโรป ญี่ปุ่น อาจจะขึ้นภาษีกับสหรัฐ ทำให้การค้าของโลกชะลอลง เศรษฐกิจโลกโตช้า กระทบราคาสินค้าบางอย่างแพงขึ้น

นอกจากนี้ หากสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย จะทำให้เราส่งไปให้สหรัฐยากขึ้น แต่เรื่องนี้เป็นเหรียญสองด้าน มีทั้งบวกและลบ อย่างช่วงยุคทรัมป์ 1.0 ที่สินค้าไทยสามารถเข้าไปแทนสินค้าจีนได้ แต่หากขึ้นสินค้าเวียดนามน้อยกว่าสินค้าไทยก็อาจจะเข้าไปเป็นคู่แข่งและตีตลาดคู่กับเราได้

อย่างไรก็ตาม เราอาจจะต้องเจรจา ยอมนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ ถือเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดแรงกดดัน ผู้ประกอบการต้องเตรียมรับมือ เช่น สินค้าเกษตร โดยเฉพาะเนื้อหมู ซึ่งเดิมสหรัฐอยากจะส่งเนื้อหมูมาในไทยกว่า 10 ปีแล้ว แต่ไทยไม่ยอม

ADVERTISMENT

นอกจากนี้ เมื่อจีนส่งออกไปสหรัฐได้น้อยขึ้น จำเป็นต้องส่งออกสินค้ามายังไทยมากขึ้น จะทำให้สินค้าจีนทะลักเข้าไทย โดยเฉพาะกลุ่มเหล็ก เครื่องใช้ไฟฟ้า ปิโตรเคมี สิ่งทอ พลาสติก ซึ่งมองว่ายังไงเราก็สู้จีนไม่ได้อยู่แล้ว

ราคาน้ำมันลด-ปริมาณเพิ่ม 4%

ขณะที่ผลกระทบทางด้านพลังงานก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นด้วย เมื่อสหรัฐถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง ซึ่งประมาณการในปีนี้อยู่ที่ 75-76 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ถูกกว่าในปี 2567 ประมาณ 1-2 เหรียญ นอกจากนี้ สหรัฐก็เดินหน้าขุดน้ำมันเต็มที่ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะทำให้ Supply น้ำมันตลาดโลกเพิ่มขึ้นราว 4%

ADVERTISMENT

“ราคาน้ำมันคงไม่ลงไปเท่าในช่วงก่อนโควิดที่ 65 เหรียญ น่าจะยังอยู่ที่ 75-76 เหรียญ”

โลกยังต้องการพลังงานสะอาด

ในส่วนของผลกระทบทางอ้อม เมื่อทรัมป์ไม่สนับสนุนพลังงานสะอาด ซึ่งจริง ๆ มีกฎหมาย Inflation Reduction Act (IRA) ในสมัยของโจ ไบเดน ระบุว่าจะเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสีเขียว จะมีกองทุนที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนองค์กรที่ไปสู่พลังงานสะอาด เทคโนโลยีสีเขียว แต่เมื่อทรัมป์จะไม่สนับสนุนกรีน แม้กฎหมายจะยกเลิกไม่ได้ แต่ก็มีอำนาจสั่งไม่ให้ปล่อยเงินกองทุนเพิ่ม ทำให้สิ่งที่กำลังพัฒนาหรือที่กำลังได้รับการส่งเสริมอยู่ก็ต้องหยุดชะงักหรือช้าลง

“มองว่าเทรนด์ของโลกที่ต้องการพลังงานสะอาดจะไม่เปลี่ยน ยุโรป เอเชียก็ต้องลดคาร์บอนกันต่อ ทรัมป์อยู่แค่ 4 ปี หลังจากนี้ สหรัฐก็จะช้ากว่าประเทศอื่นในอนาคต”

ทั้งนี้ สหรัฐเป็นอันดับ 2 ของโลกที่ปล่อยคาร์บอนออกสู่ชั้นบรรยากาศ ดังนั้นใน 4 ปี สหรัฐจะเริ่มปล่อยคาร์บอนแบบมหาศาลส่งผลกระทบกับไทยมากขึ้นด้วย ซึ่งปัจจุบันไทยกลายเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอยู่อันดับ 9 ของโลก เนื่องจากเราอยู่ในโซนสภาวะอากาศน้ำท่วม น้ำแล้ง ประกอบกับเศรษฐกิจต้องพึ่งพาสภาพอากาศพอสมควร เช่น อุตสาหกรรม Data Center ที่จำเป็นต้องใช้น้ำก็อาจจะต้องลำบาก

ขณะเดียวกันมีกฎระเบียบทั้งในยุโรป และญี่ปุ่น ที่กดดันให้ไทยต้องลดคาร์บอน เพื่อเป็นใบเบิกทางในการส่งออกสินค้าไปยังประเทศที่เข้มงวด และให้เราเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าพลังงานจากแสงอาทิตย์ ลม น้ำ อาจจะไม่เพียงพอ เราควรหาตัวเลือกเพิ่มเติมเข้ามาซัพพอร์ต เช่น โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor : SMR) แต่ปรากฏว่าถูกใส่ไว้ในปลายแผน PDP และมีสัดส่วนเพียงแค่ 1% ซึ่งคิดว่าไม่น่าจะเพียงพอ

แนะรัฐทำแอปกลางเช็กคาร์บอน

พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) สำคัญมาก แต่คาดว่าน่าจะต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปีกว่าที่จะคลอดและบังคับใช้อย่างจริงจัง ซึ่งใน พ.ร.บ.จะระบุประเภทธุรกิจที่ต้องจ่ายภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) หรือบางธุรกิจก็จะโดนระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading Scheme : ETS) ที่กำหนดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกว่าห้ามปล่อยเกินปริมาณเท่าไหร่ ถ้าเกินก็จะต้องจ่ายเพิ่มเติม

แต่ก่อนที่จะเข้าถึงตัวระบบดังกล่าวได้ จะต้องรู้ก่อนว่าเราปล่อยในปริมาณเท่าไหร่ ซึ่งทุกองค์กรจะต้องเตรียมพร้อมในการปล่อยตามสโคปต่าง ๆ อาจจะต้องคำนวณตลอดทั้ง Supply Chain ในอนาคตอาจจะเข้มข้นขึ้น และต้องมีวิธีการจัดเก็บที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งในปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก็จะมีแพลตฟอร์มที่จะช่วยแนะนำการจัดเก็บข้อมูลให้กับภาคธุรกิจที่อยู่ภายใต้ SET

แต่ที่น่ากังวลคือ ภาคธุรกิจที่ไม่ได้อยู่ใน SET จะตระหนักหรือเข้าถึงวิธีการคำนวณการจัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ อย่างไร แน่นอนว่าบริษัทที่รับจ้างวัดข้อมูลก็มีราคาแพง ดังนั้นควรจะมีแพลตฟอร์มกลางของภาครัฐที่จะช่วยภาคเอกชนในการจัดเก็บข้อมูล เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงได้ด้วย