ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย-จีน จากประเทศมิตรสหายกลายมาเป็นคู่ค้าได้อย่างไร ? ตัวเลขการค้าระหว่างไทย-จีน ประสบความสำเร็จแค่ไหน พร้อมจับตานายกรัฐมนตรีแพทองธารเยือนจีนครั้งแรกมุ่งจัดการ 3 วาระ เศรษฐกิจ ความปลอดภัย และความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน
ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยจีนมีมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตกของจีนมีบันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับชนชาติไทย และความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรสุโขทัยกับจีน ซึ่งมีการติดต่อทางการค้าระหว่างกัน โดยไทยได้รับเทคโนโลยีเครื่องปั้นดินเผามาจากจีนในช่วงเวลานั้น
หลังจากมีการอพยพของชาวจีนในช่วงสงครามสมัยราชวงศ์หยวน และต้นราชวงศ์หมิง ทำให้ไทยและจีนมีการติดต่อค้าขายกันมาตลอด และมีชาวจีนเข้ามาตั้งรกรากในไทยมากขึ้น
โดยเฉพาะช่วงสงครามโลกและสงครามกลางเมืองของจีนช่วงปี 2473 มีชาวจีนจำนวนมากจากมณฑลทางใต้ อาทิ กวางตุ้ง ไห่หนาน ฝูเจี้ยน และกวางสี หลบหนีภัยสงครามและความอดอยากเข้ามาสร้างชีวิตใหม่ในประเทศไทย จึงนับได้ว่าความสัมพันธ์ของไทยและจีนใกล้ชิดกันมาอย่างยาวนาน
จากพี่น้องสู่คู่ค้า
แม้ว่าความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างยาวนานอาจจะได้รับผลกระทบทางการเมืองโลกในยุคสงครามเย็น ทำให้เลิกติดต่อกันในระยะหนึ่ง แต่ด้วยการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในปี 2518 ทำให้ความสัมพันธ์เดิมถูกสานต่อและก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ การค้า การทหาร การศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และวัฒนธรรม
ทศวรรษให้หลัง ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าก็ได้มาเป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญระหว่างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ประกอบกับการที่ผู้นำประเทศไทย อาทิ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เดินทางไปเยือนจีนและเข้าพบเหมา เจ๋อตุง ประธานาธิบดีจีน (2518) และนายเติ้ง เสี่ยวผิงมาเยือนไทย (2521)
รวมถึงผู้นำอีกหลายท่านมาเยือนไทยตลอดช่วงเกือบ 50 ปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับผู้นำไทยได้เดินทางไปเยี่ยมเยือนจีนอย่างสม่ำเสมอ นับเป็นแรงผลักดันสำคัญในการพัฒนาความร่วมมือและเสริมสร้างความไว้วางใจระหว่างทั้งสองประเทศให้เพิ่มพูนมากขึ้น
ปี 2531 หลังจากที่จีนได้เริ่มดำเนินโยบายเปิดประเทศและปฏิรูปเศรษฐกิจภายใต้การนำของเติ้ง เสี่ยวผิง ความร่วมมือของทั้งสองประเทศก็ได้รับการพัฒนาและขยายตัวอย่างรวดเร็ว ด้านการค้า มูลค่าการค้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น จากปีแรกที่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไว้ที่ 25 ล้านเหรียญสหรัฐ กลายเป็น 64,223 ล้านเหรียญสหรัฐ
ปี 2553 ความสัมพันธ์ทางการค้าไทย-จีนเข้มข้นขึ้น จากการบังคับใช้ความตกลงทางการค้าเสรีอาเซียนเมื่อเดือนมกราคม ก่อนที่จะถูกยกระดับขึ้นในปี 2562 ด้วยการก่อสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน จากการร่วมมือของไทย-ลาว-จีน
และการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกของไทย (EEC) รวมทั้งการมีกลไกคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน นอกจากนี้ ยังมีความตกลงทางการค้าอื่น ๆ อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ความตกลงด้านเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีนมีมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ปี 2521 จนถึงปัจจุบัน
- ข้อตกลงทางการค้า (2521)
- พิธีสารว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย-จีน (2521)
- ข้อตกลงว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-จีน (2528)
- ความตกลงเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน (2528)
- ความตกลงเพื่อเว้นการเก็บภาษีซ้อน (2529)
- ข้อตกลงความร่วมมือด้านวัฒนธรรมไทย-จีน (2544)
- ความตกลงเร่งลดภาษีสินค้าผักและผลไม้ระหว่างไทย-จีน (2546)
- ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (2546)
- บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือทางการค้า การลงทุน และเศรษฐกิจ (2546)
ลดภาษีการค้าครั้งแรก ไทยได้เปรียบ 468 ล้าน
ปี 2546 มีการลงนามความตกลงเร่งลดภาษีสินค้าผักและผลไม้ระหว่างไทย-จีน จากการที่รัฐบาลเห็นถึงศักยภาพด้านการค้าระหว่างกันในสินค้าเกษตร ช่วยลดอุปสรรคด้านภาษีในการค้าสินค้าผักและผลไม้ (สินค้าพิกัดภาษี 07-08) ทำให้มีการยกเว้นภาษีสำหรับสินค้า 116 รายการ
ผลลัพธ์จากความร่วมมือในครั้งนี้ การค้าสินค้าเกษตรภายใต้พิกัด 07-08 ระหว่างไทยและจีนมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปี 2546-2548 การค้าสินค้าเกษตรไทย-จีนมีมูลค่ารวม 820.12 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 49.88 ในปี 2547 และร้อยละ 39.81 ในปี 2548 (มกราคม-กันยายน) ทำให้ไทยเป็นแหล่งนำเข้าสินค้าพิกัด 07-08 อันดับ 1 ของจีน สัดส่วนร้อยละ 48
ปี 2547 ไทยส่งออกสินค้าเกษตรพิกัด 07-08 ไปจีนคิดเป็นมูลค่า 286.13 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 44.32 เมื่อเทียบกับปี 2546 และในปี 2548 (มกราคม-ตุลาคม) ไทยส่งออกจีนมูลค่า 299.03 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.67 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะเดียวกัน การนำเข้าสินค้าจากจีนในปี 2547 มีมูลค่า 76.97 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 74.92 เมื่อเทียบกับปี 2546 และในปี 2548 (มกราคม-กันยายน) ไทยนำเข้าจากจีนมูลค่า 73.31 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 65.61 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งพิจารณาจากมูลค่าการส่งออกสินค้า จะเห็นได้ว่าไทยได้เปรียบดุลการค้าถึง 468.26 ล้านเหรียญสหรัฐ
ไทย-จีน ร่วมค้าผ่าน FTA
ปี 2548 หลังจากความสำเร็จในข้อตกลงทางการค้าที่ทำร่วมกันใน 2 ปีที่ผ่านมา ไทยได้เข้าร่วมความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ASEAN-China Free Trade Agreement) หรือ ACFTA โดยมีสินค้านำร่องมาตั้งแต่ปี 2546 ก่อนจะทยอยลดภาษีของสินค้าที่เหลือเพิ่มขึ้น ซึ่งรวมแล้วกว่าร้อยละ 90 ของรายการสินค้าทั้งหมด มีอัตราภาษีนำเข้าเป็นศูนย์ จัดออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
1.สินค้านำร่อง ได้แก่ ผัก ผลไม้ สินค้าประมง ผลิตภัณฑ์นมและไข่ เป็นต้น ทั้งสองฝ่ายลดภาษีเหลือศูนย์แล้วตั้งแต่ปี 2549 โดยสินค้าที่ไทยได้ประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ โดยเฉพาะมันสำปะหลัง ซึ่งมีอัตราการขยายตัวมากกว่าร้อยละ 400 และสินค้าประมง ซึ่งมีอัตราการขยายตัวมากกว่าร้อยละ 290
2.สินค้าอ่อนไหว ที่ทั้งสองฝ่ายต้องการเวลาปรับตัว จึงมีระยะเวลาการลดและยกเลิกภาษีนานกว่าสินค้าปกติ โดยลดอัตราภาษีลงเหลือไม่เกินร้อยละ 20 ในวันที่ 1 มกราคม 2555 และในวันที่ 1 มกราคม 2561 จะต้องลดภาษีลงเหลือร้อยละ 0-5 ครอบคลุมสินค้าของฝ่ายไทย เช่น แป้ง ข้าวสาลี น้ำผลไม้ โพลีเอสเตอร์ ยางรถยนต์ รองเท้ากีฬา ของเล่น กระจก ตู้เย็น ตู้แช่ เครื่องรับโทรทัศน์ ไมโครเวฟ แบตเตอรี่
และสินค้าของฝ่ายจีน เช่น กาแฟ ใบยาสูบ ขนสัตว์ ฝ้าย ปลายข้าว แป้งข้าวเจ้า สับปะรดแปรรูป กระดาษ โพลีเอสเตอร์ กระปุกเกียร์สำหรับยานยนต์ และถุงลมนิรภัย เป็นต้น โดยสินค้าที่คาดว่าไทยจะได้ประโยชน์จากการลดภาษีของจีน เช่น ใบยาสูบ กาแฟ ฝ้าย สับปะรดแปรรูป และโพลีเอสเตอร์
3.สินค้าอ่อนไหวสูง มีจำนวนรายการสินค้าไม่เกินร้อยละ 40 หรือ 100 รายการของสินค้าอ่อนไหวทั้งหมด (พิกัดศุลกากร 6 หลัก) แล้วแต่ว่าเงื่อนไขใดส่งผลให้มีรายการสินค้าอ่อนไหวสูงน้อยกว่า โดยสามารถคงอัตราภาษีไว้ได้จนถึง 1 มกราคม 2558
หลังจากนั้นต้องลดภาษีมาอยู่ที่ไม่เกินร้อยละ 50 โดยครอบคลุมสินค้าของฝ่ายไทย เช่น สินค้าเกษตร 23 รายการที่มีโควตาภาษี (อาทิ นม ครีม มันฝรั่ง กระเทียม ไหมดิบ) หินอ่อน และสินค้าของฝ่ายจีน เช่น ข้าวโพด ข้าว พืชน้ำมัน น้ำตาล กระดาษ ด้ายใยสังเคราะห์ กระดาษแข็ง
โดยจีนถือเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยมาตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งมีมูลค่าการค้า ส่งออก-น้ำเข้า และการขาดดุลการค้า ดังนี้
ปี 2562
- มูลค่าการค้า 79,440 ล้านดอลลาร์
- ส่งออก 29,169 ล้านดอลลาร์
- นำเข้า 50,270 ล้านดอลลลาร์
- ขาดดุลการค้า 21,101 ล้านดอลลาร์
ปี 2563
- มูลค่าการค้า 79,613 ล้านดอลลาร์
- ส่งออก 29,813 ล้านดอลลาร์
- นำเข้า 49,800 ล้านดอลลลาร์
- ขาดดุลการค้า 19,967 ล้านดอลลาร์
ปี 2564
- มูลค่าการค้า 103,818 ล้านดอลลาร์
- ส่งออก 37,265 ล้านดอลลาร์
- นำเข้า 66,553 ล้านดอลลลาร์
- ขาดดุลการค้า 29,287 ล้านดอลลาร์
ปี 2565
- มูลค่าการค้า 105,196 ล้านดอลลาร์
- ส่งออก 34,430 ล้านดอลลาร์
- นำเข้า 70,766 ล้านดอลลลาร์
- ขาดดุลการค้า 36,336 ล้านดอลลาร์
ปี 2566
- มูลค่าการค้า 104,964 ล้านดอลลาร์
- ส่งออก 34,164 ล้านดอลลาร์
- นำเข้า 70,800 ล้านดอลลลาร์
- ขาดดุลการค้า 36,635 ล้านดอลลาร์
ปี 2567
- มูลค่าการค้า 94,919.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยมีสินค้านำเข้าสินค้าจากจีน 10 อันดับ ได้แก่
- เครื่องจักรไฟฟ้า มูลค่า 6,891 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- เครื่องจักรกล มูลค่า 5,146 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- เคมีภัณฑ์ มูลค่า 4,127 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน มูลค่า 3,678 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- เครื่องคอมพิวเตอร์ มูลค่า 3,021 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- เหล็กและเหล็กกล้า มูลค่า 2,681 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- สินแร่และโลหะอื่น ๆ มูลค่า 2,265 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ผลิตภัณฑ์โลหะ มูลค่า 1,780 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- ผลิตภัณฑ์พลาสติก มูลค่า 1,641 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- แผงวงจรไฟฟ้า มูลค่า 1,599 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
จับตา 3 วาระ นายกฯเยือนจีน
เป็นเวลาเกือบ 50 ปี สำหรับการเป็นพันธมิตรระหว่างประเทศที่ยาวนานและแน่นแฟ้น รัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ก็ได้มีการสานต่อความสัมพันธ์นี้ โดยมีการนำคณะเยือนจีนในวันนี้-8 กุมภาพันธ์ 2568 ด้วยเป้าหมายในการผลักดันและติดตามความร่วมมือสำคัญ 3 เรื่องด้วยกัน ได้แก่
- ด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ให้เร่งส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนด้านการลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะในสาขาแห่งอนาคตที่สำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านสีเขียวและดิจิทัล เช่น EV, Semiconductor, Data Centre
- ด้านความปลอดภัย และการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ยกระดับมาตรการต่าง ๆ โดยไม่ยอมให้ขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติใช้ไทยเป็นทางผ่าน โดยเฉพาะแก๊ง Call Center อย่างใกล้ชิด
- ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนทั้ง 2 ประเทศ ให้เร่งการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีความพร้อมต่ออนาคต และให้สนับสนุนการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม Soft Power และรวมถึงการเตรียมความพร้อมในการรับแพนด้ายักษ์คู่ใหม่จากจีน ในฐานะทูตสันถวไมตรี
และการเดินทางครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะพบปะหารือกับผู้นำจีน ทั้ง ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง, นายจ้าว เล่อจี้ ประธานสภาประชาชนแห่งชาติ และนายกรัฐมนตรี หลี่ เฉียง เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือทั้งการค้า การลงทุน เศรษฐกิจ และสังคม ในโอกาสครบรอบปีทองแห่งมิตรภาพไทย-จีน ครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต
ข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในจีน, สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง, หอการค้าไทย-จีน และสำนักบริการส่งออก กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์