
ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC เตรียมขยายธุรกิจในปี 2568 เจาะสหรัฐ ยุโรป ขณะที่ปี 2567 กวาดรายได้สุดปังทะลุ 1.7 หมื่นล้าน
นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2568 นี้ ไอ-เทล มีความมุ่งมั่นอย่างมากในการขับเคลื่อนการเติบโตแบบก้าวกระโดด เพื่อการขยายธุรกิจในตลาดโลกและการเติบโตในธุรกิจ Private Label โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐและยุโรป โดยเรายังคงยึดมั่นการให้ความสำคัญกับลูกค้าและสัตว์เลี้ยงเป็นศูนย์กลาง และเดินหน้าอย่างเต็มที่ในการพัฒนานวัตกรรม เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและสัตว์เลี้ยงอย่างดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารเปียก ขนมทานเล่น และอาหารกลุ่ม Functional สำหรับสัตว์เลี้ยง
รวมถึงการมุ่งสู่เป้าหมายสูงสุดในการเป็นผู้นำในตลาดผลิตภัณฑ์กลุ่มเสริมอาหารและโภชนบำบัด (Nutraceutical) เพื่อการดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์เลี้ยงอย่างยั่งยืน
โดยจากปี 2567 นั้นถือเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งสำหรับไอ-เทล ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในภาพรวม แม้ว่าจะยังคงเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจ แต่การบริโภคสินค้ากลุ่มพรีเมี่ยมมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามความต้องการของกลุ่ม Pet Parent ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลและมอบโภชนาการที่ดีที่สุดให้กับสัตว์เลี้ยงของตน
บริษัทมองเห็นโอกาสของตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เราได้นำนวัตกรรมและความเชี่ยวชาญมาใช้ในการพัฒนาสินค้าให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาดและลูกค้ามากยิ่งขึ้น ทำให้เราสามารถสร้างการเติบโตทางธุรกิจได้ตามเป้าหมายที่วางไว้”
สำหรับไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 การดำเนินธุรกิจของไอ-เทลมีรายได้จากยอดขายที่ 4,698 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 790 ล้านบาท นอกจากนี้ ไอ-เทล ยังได้เดินหน้าโครงการทรานส์ฟอร์เมชั่นเพื่อเร่งการเติบโต โดยมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงคุณภาพสูง ด้วยนวัตกรรมและกระบวนการผลิตที่ทันสมัย
โดยมีเป้าหมายการเพิ่มรายได้เป็นสามเท่า อยู่ที่ประมาณ 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2573 ทั้งจากการเติบโตจากการดำเนินงานปกติและการควบรวมกิจการในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงระดับโลก
ในปี 2567 ไอ-เทลมีสัดส่วนของยอดขายในอเมริกาคิดเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด ขณะที่เอเชียและโอเชียเนียอยู่ที่ 34 เปอร์เซ็นต์ และยุโรปอยู่ที่ 16 เปอร์เซ็นต์ โดยสามารถแบ่งสัดส่วนของยอดขายตามประเภทของสินค้าหลัก 3 ประเภท
ได้แก่ อาหารแมว 70 เปอร์เซ็นต์ อาหารสุนัข 18 เปอร์เซ็นต์ ขนมของสัตว์เลี้ยง 12 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ บริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพสูงออกสู่ตลาดกว่า 1,300 รายการ สร้างรายได้ 1,395 ล้านบาท คิดเป็น 8 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายในปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังเพิ่มความแข็งแกร่งทางธุรกิจด้วยการเซ็นสัญญาทางธุรกิจกับลูกค้ารายใหม่ทั่วโลกอีก 83 รายอีกด้วย
รายงานผลการดำเนินธุรกิจประจำปี 2567 มีรายได้จากการขายรวมที่ 17,729 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.8 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นขยายตัวแข็งแกร่งถึง 27.7 เปอร์เซ็นต์ และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,597 ล้านบาท เติบโต 57.7 เปอร์เซ็นต์ จากปีก่อนหน้า เป็นผลจากคำสั่งซื้อของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคทั่วโลก และการเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าพรีเมี่ยม ประกอบกับการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ บริษัทได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลังอยู่ที่ 0.75 บาทต่อหุ้น ทำให้การจ่ายเงินปันผลตลอดปีอยู่ที่ 1.15 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราส่วนการจ่ายเงินปันผลที่ 95.9 เปอร์เซ็นต์