
ไทยออยล์เตรียมเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น 21 กุมภาพันธ์นี้ ชงอนุมัติเพิ่มเงินลงทุนโครงการ CFP ราว 63,028 ล้านบาท เผยกำไรปี 2567 ที่ 9,958.63 ล้านบาท ลดลง 49% เทียบกับปี’66 เหตุกำไรขั้นต้นจากการกลั่นปรับลด-ขาดทุนสต๊อกน้ำมัน 5,913 ล้านบาท
นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า สำหรับความคืบหน้าโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project) หรือ CFP มูลค่าการลงทุน ประมาณ 4,825 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 160,279 ล้านบาท
คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติให้เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อเสนอให้ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการเพิ่มเงินลงทุนในโครงการ CFP เป็นจํานวนเงินประมาณ 63,028 ล้านบาท หรือเทียบเท่าประมาณ 1,776 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
และดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้างประมาณ 17,922 ล้านบาท หรือเทียบเท่าประมาณ 505 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้มีมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมดของโครงการ CFP เป็นจํานวนเงินประมาณ 241,472 ล้านบาท หรือเทียบเท่าประมาณ 7,151 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้างประมาณ 37,216 ล้านบาท หรือเทียบเท่าประมาณ 1,078 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ที่ผ่านมา โครงการ CFP ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 ตั้งแต่ช่วงเริ่มงานในขั้นตอนการออกแบบวิศวกรรม การจัดหาวัสดุอุปกรณ์และเครื่องจักร ทําให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนแผนการดําเนินงาน จึงส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานโครงการเพิ่มขึ้น และทําให้ระยะเวลาการก่อสร้างโครงการ CFP ต้องถูกขยาย ออกไปจากเดิมที่คาดการณ์ไว้
ด้วยเหตุดังกล่าวที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 9/2564 จึงได้พิจารณาอนุมัติการขยายกรอบวงเงินประมาณการดอกเบี้ยระหว่างก่อสร้างของโครงการ CFP จาก 151 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5,016 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นอีก 422 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 14,278 ล้านบาท
และในการประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 4/2565 ได้พิจารณาอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมในการดําเนิน โครงการ CFP และอนุมัติให้บริษัท ลงนามในสัญญาแก้ไขสัญญา EPC กับผู้รับเหมาหลัก โดยเพิ่มงบประมาณของโครงการอีกประมาณ 550 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 18,165 ล้านบาท และขยายระยะเวลาการดําเนินโครงการไปอีก 24 เดือน ตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญา EPC เพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัท และเพื่อให้สามารถดําเนินโครงการ CFP ต่อไปให้แล้วเสร็จ
ปัจจุบันหน่วยกําจัดกํามะถันในนํ้ามันดีเซลที่ 4 (Hydrodesulfurization Unit : HDS-4) ได้ประสบความสําเร็จในการทดลองเดินเครื่องจักรและผลิตนํ้ามันดีเซลมาตรฐานยูโร 5 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ทันต่อการตอบสนองต่อนโยบายการใช้นํ้ามันมาตรฐานยูโร 5 ที่ภาครัฐมีการประกาศบังคับใช้ ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 เป็นต้นมา
อย่างไรก็ดี จากเหตุการณ์ที่ผู้รับเหมาหลักไม่ชําระเงินค่าจ้างค้างจ่ายให้กับผู้รับเหมาช่วง ที่ผู้รับเหมาหลักจ้างให้ทํางานในการก่อสร้างโครงการ CFP จนทําให้ผู้รับเหมาช่วงหยุดงานหรือลดจํานวนคนงานลง จากเหตุการณ์ดังกล่าว บริษัทจึงต้องพิจารณาทางเลือกในการดําเนินโครงการให้แล้วเสร็จ
ซึ่งมีการเตรียมความพร้อมโดยให้ที่ปรึกษาด้านเทคนิค (Technical Advisor) มาตรวจสอบและวิเคราะห์การก่อสร้างที่เหลืออยู่ของโครงการ จากรายงานการตรวจสอบและวิเคราะห์ของที่ปรึกษาด้านเทคนิค เห็นว่าการที่จะก่อสร้างโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จจะต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มเติมอีกประมาณ 63,028 ล้านบาท หรือเทียบเท่าประมาณ 1,776 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ หากการดําเนินโครงการ CFP ให้แล้วเสร็จ จะทําให้บริษัทมีหน่วยกลั่นนํ้ามันดิบใหม่ที่มีขนาดกําลังการกลั่นสูงทดแทนหน่วยกลั่นเดิม ส่งผลให้กําลังการกลั่นนํ้ามันดิบของบริษัท เพิ่มขึ้นจากเดิม 275,000 บาร์เรลต่อวันเป็น 400,000 บาร์เรลต่อวัน
ทุ่มงบฯ 5 ปี 69 ล้านเหรียญ ไปต่อ CFP
บริษัทและบริษัทในกลุ่มมีแผนการลงทุนโครงการในอนาคตที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ปี 2568 ถึงปี 2570 ระยะเวลา 5 ปี เป็นจํานวนรวมทั้งสิ้น 438 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นโครงการ CFP 69 ล้านเหรียญสหรัฐ และเงินลงทุนในธุรกิจโอเลฟินส์ของบริษัท โดยผ่านการเข้าซื้อหุ้นของบริษัท PT Chandra Asri Petrochemical Tbk ประมาณ 270 ล้านเหรียญสหรัฐ และโครงการอื่นของบริษัทที่อยู่ระหว่างดําเนินการ
กำไร 9.9 พันล้าน สต๊อกลอสฉุด
สำหรับภาพรวมปี 2567 กลุ่มไทยออยล์มีรายได้จากการขายที่ 455,857 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 9,959 ล้านบาท กำไรลดลง 49% เมื่อเทียบกับปี 2566 สาเหตุหลักจากกำไรขั้นต้นจากการกลั่นปรับลดเนื่องจากส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซิน น้ำมันอากาศยาน น้ำมันดีเซลกับราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลดลง จากอุปทานที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากโรงกลั่นใหม่เริ่มดำเนินการ
ขณะที่ด้านราคาน้ำมันดิบในปี 2567 เทียบกับปี 2566 ปรับลดลง จากความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์รับรู้ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 5,913 ล้านบาท