
สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย เผยผลประชุมอนุกรรมการด้านการตลาด นบข. กับ 3 มาตรการช่วยเหลือชาวนา ยังไม่ตรงโจทย์ ร้องขอให้ทบทวนอีกครั้ง ให้สอดรับกับปัญหาที่แท้จริง พร้อมเปิด 9 คำถามปัญหาที่เกิดขึ้น
รายงานข่าวจากสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ระบุแถลงการณ์ ตามที่สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ได้ร่วมประชุมคณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ด้านอนุตลาดฯ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุม และได้ร่วมพิจารณามาตรการช่วยเหลือด้านราคาข้าวนาปีการผลิต 2568 ดังนี้
1.ขยายโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปรังช่วยค่าฝากเก็บ 1,500 บาทต่อตัน ระยะเวลา 1-5 เดือน ในพื้นที่ 72 จังหวัด ปริมาณ 15,000 บาทต่อตัน วงเงิน 1,219.13 ล้านบาท
2.การเพิ่มช่องทางการตลาดในประเทศ โดยเปิดจุดรับซื้อ รัฐสนับสนุนค่าบริหารจัดการตันละ 500 บาท ผู้ประกอบการช่วยซื้อในราคานำตลาด 300 บาทต่อตัน เป้าหมาย 300,000 ตัน ในพื้นที่ 72 จังหวัด งบประมาณ 150 ล้านบาท เป็นทางเลือกให้เกษตรกรที่ต้องการจะขายเลย
3.โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต๊อกข้าว ช่วยดอกเบี้ยผู้ประกอบการ 6% สำหรับผู้ประกอบการเก็บสต๊อก 2-6 และผู้ประกอบการรับซื้อราคาสูงกว่าตลาด 200 บาทต่อตันขึ้นไป เป้าหมาย 2 ล้านตัน วงเงิน 524.40 ล้านบาท โดยทั้งสามมาตรการใช้งบประมาณ 1,893.53 ล้านบาท
ทั้งนี้ ทางสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทยได้มีการชี้แจงรายละเอียดข้อจำกัด และขีดความสามารถของมาตรการกล่าวถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับการใช้งบประมาณ การเปิดช่องโอกาสให้เกิดการทุจริตนโยบาย รวมถึงความไม่พร้อมในเรื่องขององค์ประกอบในสถาบันที่ร่วมโครงการ และที่สำคัญมาตรการต่าง ๆ ที่ยังไม่ตรงตามความเดือดร้อนของเกษตรกรที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือ
ดังนั้น เพื่อเป็นไปตามมติกรรมการของสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย จึงเห็นพ้องว่ามาตรการทั้งหมดมิได้ตอบสนองความเดือดร้อนของเกษตรกรโดยแท้จริง และบางมาตรการต้องสมควรมีประจำเมื่อถึงช่วงฤดูเก็บเกี่ยว เช่น การเปิดจุดรับซื้อ จึงขอให้อนุกรรมการนโยบายและบริหารเข้าแห่งชาติ ทบทวนและวางมาตรการใหม่ตามที่เกษตรกรร้องขอเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร และป้องกันการสุ่มเสี่ยงทางเสถียรภาพของรัฐบาล
อนึ่ง สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ขอสรุปความเดือดร้อน ของเกษตรกรผู้ทำนาปรังปีการผลิต 2567/68 ดังนี้
1.ขอให้ภาครัฐพิจารณา มาตรการประกันราคาผลผลิตข้าวเปลือกจ้าวในฤดูนาปรังปีการผลิต 2568
1.1 ความชื้นไม่เกิน 15% ราคาไม่ต่ำกว่า 12,000 บาท/ตัน
1.2 ความชื้นไม่เกิน 25% ราคาไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท/ตัน
2.ขอให้ภาครัฐพิจารณา มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรในกรณีงดเผาตอซังฟางข้าวไร่ละ 500 บาท ตามจำนวนพื้นที่เพาะปลูกที่เกษตรกรขึ้นทะเบียนไว้
3.ขอให้ภาครัฐควบคุมปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ย ยา และน้ำมันเชื้อเพลิง
4.ขอให้ภาครัฐพิจารณาหาแนวทางชดเชยพื้นที่เกษตรกรที่ใช้เป็นทุ่งรับน้ำ ตามที่เกษตรกรร้องขอ
5.ขอให้ภาครัฐพิจารณาโครงการไร่ละ 1,000 ให้ยังคงเดิม อันเป็นการวางมาตรการความเสี่ยงในเรื่องต้นทุนการผลิต
ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภาครัฐต้องพิจารณาถึงกลุ่มเกษตรกรที่ทำการเก็บเกี่ยวไปแล้วให้ได้รับสิทธิในมาตรการดังกล่าวทุกมาตรการโดยเท่าเทียมกัน
จึงเรียนเพื่อทราบโดยทั่วกัน
นายปราโมทย์ เจริญศิลป์
(นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย)
เปิด 9 ข้อคำถาม
สมาคมชาวนาเเละเกษตรกรไทยขอยืนยันว่าการประชุมคณะอนุกรรมการด้านการตลาด ข้อเสนอของสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย รวมถึงข้อเสนอของชาวนาที่ยื่นผ่านผู้ว่าฯแต่ละจังหวัด ไม่ผ่านการพิจารณา โดยแจ้งว่าไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากขัดกับมติ ครม. เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 66 และมติ นบข.เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 67 กำหนดว่าในการจัดทำมาตรการ/โครงการ เพื่อสนับสนุนหรือให้ความช่วยเหลือภาคเกษตรกร ให้หลีกเลี่ยงการดำเนินการในลักษณะการให้เงินอุดหนุน ช่วยเหลือ ชดเชย หรือประกันราคาสินค้าเกษตรโดยตรงแก่เกษตรกร
ส่วนเรื่องที่ประชุมนำขึ้นมาพิจารณา โดยฝ่ายเลขาเป็นผู้นำเสนอ ในเรื่องของมาตรการที่จะให้สหกรณ์ดำเนินการรับซื้อ หรือรับฝาก โดยสหกรณ์ได้ 500 บาท/ตัน ชาวนาได้ 1,000 บาท/ตัน ราคาข้าวแห้งที่ 8,500 บาท/ตัน สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทยไม่ได้เป็นผู้นำเสนอ และไม่ได้เป็นแนวคิดของสมาคม สมาคมขอยืนยันตรงนี้เพื่อความเข้าใจ
เพราะสมาคม และคิดว่าหลายฝ่ายทราบดีถึงขีดความสามารถและจำนวนสหกรณ์ ว่าไม่มีกำลังพอ และส่วนที่จะเอาใครมาช่วยรับสมาคมไม่แน่ใจ แต่คิดว่าอาจจะมีการเอาโรงสีมาเข้าโครงการ และได้ค่าการจัดการ 500 บาท/ตัน และเงินชดเชยดอกเบี้ยอีก 6% ให้โรงสีซื้อนำตลาด โดยทุกฝายทราบว่าสมาคมได้ท้วงติ่งไปในหลายประเด็น
สรุปคือ มาตรการที่ออกมาทั้งหมด ไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นของสมาคมชาวนา หรือของชาวนาที่ยื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดที่ได้นำเสนอเลย ส่วนเรื่องการเผาฟางสมาคมได้นำเสนอต่อที่ประชุมเมื่อวานนี้ แต่ที่ประชุมบอกว่าไม่มีความชำนาญเชี่ยวชาญพอ จึงขอให้กระทรวงเกษตรนำไปพิจารณาพิจารณาในคณะอนุกรรมการด้านการผลิตต่อไป
ประเด็นคำถามที่สมาคมตั้งประเด็นสอบถามในที่ประชุมมีดังนี้
1) พื้นที่นาปรัง 10 ล้านไร่ ผลผลิต 6.5 ล้านตัน แต่โครงการมีเป้าหมายซื้อเพียง 3.8 ล้านตัน คำถามคือ ส่วนที่เหลือจะทำอย่างไร และชาวนาที่เกี่ยวไปแล้วจะทำอย่างไร
2) ราคาที่ตั้งไม่ต่างจากราคาตลาด ที่มีการซื้อขาย ข้าวแห้ง (คช.15%) ที่ 8,500-8,800 บาท/ตัน ข้าวสด (คช.ประมาณ 25%) 7,200-7,500 บาท/ตัน
3) ต้องใช้หลักฐาน เช่นใบขึ้นทะเบียนเกษตรกร และอื่น ๆ หรือไม่ เพื่อยืนยัน สิทธิและจำนวนข้าวที่ขาย
- จะป้องกันอย่างไร จะเชื่อได้อย่างไรว่ามีการซื้อขายข้าวจากชาวนาจริง ไม่เป็นการเอาข้าวของผู้ประกอบการมาสวมแล้วใช้สิทธิของชาวนาในการรับส่วนต่าง 1,000 บาท/ตัน
4) ชาวนาที่ขายไปก่อนหน้านี้แล้ว จะมีแนวทางช่วยเหลืออย่างไร
5) การขึ้นทะเบียนในฤดูนาปรัง มีจำนวนพื้นที่ และจำนวนชาวนากี่ราย
6) ข้อเท็จจริงที่ในวงการค้าข้าว และชาวนารับรู้กันว่าณปัจจุบัน มีเกษตรกรนำข้าวที่ไม่เป็นพันธุ์ข้าวของไทยมาปลูกจำนวนมากในพื้นที่ภาคกลาง และภาคเหนือ เราใช้ให้เข้า ใช้สิทธิในการขายได้หรือไม่ หรือว่าจำกัดสิทธิในการขาย และเราจะขึ้นทะเบียนเกษตรกรอย่างไร พันธุ์ที่เพาะปลูกจริงกับการขึ้นทะเบียนจะตรงกันหรือไม่
7) ในการที่ชาวนาเพาะปลูกข้าวในฤดูนาปรังมีหลายสายพันธุ์ เช่น ข้าวหอมปทุม พันธุ์ข้าวกลุ่มข้าว 5% กข.79 พื้นนุ่ม ข้าวเหนียว จะดูแลแต่ละกลุ่มข้าวอย่างไร ควรจะกำหนดมาตราในคราวเดียวกัน
8) สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ได้นำเสนอ จ่ายตรงชาวนา 500 บาท/ไร่ หรือที่ชาวนาที่ออกเรียกร้องเสนอประกันรายได้ เพราะเหตุผลใดจึงไม่นำมาพิจารณา ทำไมไม่จ่ายตรงให้กับชาวนาเลย ทำไมต้องซื้อข้าวไปเก็บแล้ว จ่ายค่าฝากให้ชาวนา 1,000 บาท/ตัน และจ่ายให้สหกรณ์ และ/หรือโรงสี ที่เข้าร่วม 500 บาท/ตัน ทั้งที่เกษตรกรได้รับประโยชน์ไม่ทั่วถึง
9) โครงการชดเชย ด/บ. ให้โรงสีที่เก็บฝากเดิม ที่ให้ 3% เพิ่มชดเชยอีก 3% รวมเป็น 6% หรือว่าขึ้นโครงการใหม่เป็น 6% โดยรัฐจะต้องใช้วงเงินเพิ่มอีก 500 กว่าล้านบาท ประโยชน์จะถึงชาวนาจริงหรือไม่ และมีคำถามจากในที่ประชุมว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ประกอบการจะซื้อนำตลาด 200 บาทจริง
ที่ประชุมคณะอนุด้านการตลาด สรุปว่าเห็นด้วยในหลักการ ส่วนรายละเอียดต่าง จะมีกรรมการชุดย่อยดำเนินการ และนำเสนอ นบข. “ซึ่งสมาคมได้เน้นย้ำไปว่าชาวนาต้องขายข้าวสดได้ 8,000 บาท/ตัน”