“บ้านปู” โฟกัสก๊าซ-โรงไฟฟ้า ถอยถ่านหินหันลงทุนนิกเกิลแทน

สินนท์ ว่องกุศลกิจ
สินนท์ ว่องกุศลกิจ
คอลัมน์ : สัมภาษณ์

หนึ่งในผู้นำธุรกิจพลังงานอุตสาหกรรมถ่านหินระดับโลก บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU ได้เตรียมพร้อมรับมือเทรนด์โลก ผ่านการวางแผนสร้างการเติบโตทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจเสาหลัก ก๊าซธรรมชาติ-เหมือง-ไฟฟ้า-พลังงานหมุนเวียน

“ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์ นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ภายในงานแถลงข่าว “Energy Symphonics in Action” ขับเคลื่อนกลยุทธ์ด้วยพลังบ้านปู ตอกย้ำความพร้อมรับมือเทรนด์โลก เน้นสร้างกระแสเงินสด สร้างโอกาสเติบโตในแต่ละกลุ่มธุรกิจในปี 2568

นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BANPU กล่าวว่า บริษัทตั้งงบฯลงทุน 5 ปี (2568-2573) อยู่ที่ 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยในปีนี้ตั้งงบฯลงทุนไว้ที่ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ เน้นลงทุนในกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติและไฟฟ้า ประมาณ 60%, ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ประมาณ 20% และธุรกิจเหมืองแร่ใหม่ นอกเหนือจากเหมืองถ่านหิน (Next Gen Mining) อีกประมาณ 20% โดยจะเข้าลงทุนผ่านการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ขณะเดียวกัน คาดการณ์ว่ารายได้ปีนี้จะมีการเติบโตมากกว่าปีที่แล้ว หรือใกล้เคียงกัน

นอกจากนี้ได้ตั้งเป้าหมายในปี 2573 จะมีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เกิน 2,000 เหรียญสหรัฐ เติบโตขึ้นประมาณ 1.5 เท่า เมื่อเปรียบเทียบจากปี 2567 พร้อมทั้งตั้งเป้าหมายที่จะลดสัดส่วนของ EBITDA ที่จะมาจากกลุ่มถ่านหินให้ลดลงต่ำกว่า 50% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนประมาณ 60% อีกทั้งไม่มีแผนลงทุนในธุรกิจถ่านหินเพิ่มเติม

หันลงทุนเหมืองนิกเกิลอินโดฯ

สำหรับการดำเนินธุรกิจกลุ่มถ่านหินในปี 2568 จะมีผลผลิตเพิ่มขึ้นจากเหมืองที่อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย ส่วนเหมืองในจีนยังคงทรงตัว ขณะเดียวกันคาดว่ายอดขายถ่านหินปีนี้จะอยู่ 45 ล้านเหรียญ ตั้งเป้าลดต้นทุนถ่านหินให้ได้ 1.5 เหรียญสหรัฐต่อตัน ส่วนทิศทางในอนาคตเน้นการลดต้นทุน ทำให้กระบวนการผลิตต่าง ๆ มีต้นทุนที่ลดลง และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ส่วนธุรกิจเหมืองแร่ใหม่ได้โฟกัสไปที่แร่นิกเกิล (Nickel) ในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นแร่สำหรับพลังงานสะอาด ที่ใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งขณะนี้ราคาแร่นิกเกิลได้อ่อนตัวลง จึงเป็นจังหวะที่เหมาะสมที่บ้านปูจะเข้าไปลงทุน M&A เหมืองแร่นิกเกิลในอินโดนีเซีย

ADVERTISMENT

ถ่านหินปี’68 อุปทานยังล้น

อย่างไรก็ตาม สำหรับภาพรวมตลาดเหมืองในปี 2568 มองว่า ดีมานด์ ความต้องการถ่านหินเริ่มชะลอตัว เนื่องจากสภาวะอากาศหนาว ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและอุปทานส่วนเกินของตลาดที่เห็นได้ชัด ทั้งนี้ คาดว่าราคาจะคงที่ในช่วงปลายปี เนื่องจากซัพพลายเออร์เริ่มลดการผลิตลง ขณะที่แนวโน้มอุปทาน ภาคการส่งออกจะได้รับผลกระทบในช่วงฤดูฝน หรือไตรมาสแรกของปี 2568 แต่ผลการดำเนินงานโดยรวมยังคงแข็งแกร่ง ตลาดยังคงมีอุปทานมากเกินไปโดยไม่มีสัญญาณของผู้ผลิตที่ลดการส่งออกแม้ว่าราคาจะลดลงก็ตาม

ทั้งนี้ ในปี 2567 มีปริมาณการขายถ่านหินรวมทั้งกลุ่มประมาณ 37.2 ล้านตัน อินโดนีเซีย 24.5 ล้านตัน ลดลง 17% เมื่อเทียบกับปีก่อน และออสเตรเลีย 7.9 ล้านตัน ลดลง 1% เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับในปี 2568 ตั้งเป้าเพิ่มปริมาณการขายถ่านหินในอินโดนีเซียให้ได้ 28 ล้านตัน และออสเตรเลีย 8 ล้านตัน

ADVERTISMENT

ขยาย CCUS สู่เป้า Net Zero

สำหรับธุรกิจก๊าซธรรมชาติในปี 2568 บริษัทได้วางแผน 1) เน้นสร้างการเติบโตเชิงกลยุทธ์ทั้งธุรกิจต้นน้ำและกลางน้ำ โดยจัดสรรเงินลงทุนอย่างเหมาะสมตามสถานการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติ และ 2) เร่งสร้างการเติบโต ขยายโครงการเทคโนโลยีการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture Utilization and Storage : CCUS) เป็นธุรกิจหลัก ที่ช่วยให้ BKV Corporation ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบ้านปู บรรลุเป้าหมาย Net Zero

โดยกลยุทธ์ระยะสั้นจะเน้นโปรเจ็กต์ที่ไม่ใหญ่มาก เช่นเดียวกับโครงการ Cotton Cove ซึ่งเป็นโครงการ CCUS ลำดับที่สองของบ้านปู ริเริ่มมาตั้งแต่ปลายปี 2565 ล่าสุดได้ใบอนุญาตไลเซนส์ ขุดหลุมเพื่อจัดเก็บคาร์บอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะกักเก็บคาร์บอนได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2026

ธุรกิจก๊าซแนวโน้มยังดี

สำหรับภาพรวมธุรกิจก๊าซธรรมชาติในปี 2568 มองว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากสภาพอากาศที่ดีขึ้นในช่วงต้นปี รวมถึงดีมานด์ของ Data Center โดยบริษัทขนาดใหญ่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าในแหล่งพลังงานที่มีความเสถียร ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ โครงสร้างพื้นฐาน เราจึงเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มดีมานด์และราคาก๊าซให้มีความสม่ำเสมอตลอดปี ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจบ้านปูในสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังอาจจะมีความผันผวนบ้าง แต่แนวโน้มตลอดทั้งปีนี้จะดีกว่าปี 2567 โดยมีปัจจัยจาก Storage ที่ลดลง กำลังการผลิต LNG ที่เพิ่มขึ้น และสภาพอากาศที่หนาวในช่วงต้นปี

อย่างไรก็ตาม ปี 2567 ที่ผ่านมา เจอความท้าทายราคาและปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitic) ทำให้ทบทวนการลงทุนไม่ให้ผลิตมากเกินไป และลด Cost ที่ไม่จำเป็น รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารทรัพยากรบุคคล ทำให้สถานะการเงินของบริษัทแข็งแกร่ง ส่งผลให้กระแสเงินสดเป็นบวก เมื่อราคา Rebound กลับมา เราก็พร้อมที่จะปรับแผนกลยุทธ์ให้ธุรกิจเติบโตต่อไป

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาราคาก๊าซธรรมชาติในปี 2024 เฉลี่ยอยู่ที่ 2.08 เหรียญ/Mcfe ถือว่าเป็นราคาที่ต่ำในช่วงหลายปีนับตั้งแต่ช่วงโควิด แต่เราก็ยังสามารถสร้างกระแสเงินสดผ่าน EBITDA ประมาณ 232 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 74% ส่วนปริมาณการขายก๊าซอยู่ที่ 288 พันล้านลูกบาศก์ฟุตเทียบเท่า (Bcfe) ซึ่งลดลง 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนหนึ่งมาจากการชะลอการลงทุน

ลงทุนโรงไฟฟ้าเพิ่ม

ส่วนธุรกิจไฟฟ้า เราได้พยายามหาโอกาสในการเติบโต ประกอบกับมีนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่สนับสนุนพลังงานฟอสซิล ทำให้บ้านปูแสวงหาโอกาสการเติบโตเพิ่มเติมทั้งแหล่งก๊าซธรรมชาติและโรงไฟฟ้าใหม่ อย่างไรก็ตาม ได้ตั้งเป้าลงทุนโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติมอีก 1,500 เมกะวัตต์ โดยเฉพาะในประเทศยุทธศาสตร์ และธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีพลังงาน เน้นลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่จะเสริมการทำงานระหว่างระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) และซอฟต์แวร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

“Data Center ในรัฐเทกซัสมีการเติบโตของกลุ่ม Data Center เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐ เรามองว่าเป็นทำเลที่ดี ซึ่งโครงการของบ้านปูเองก็อยู่ในพื้นที่เทกซัส จึงเป็นทำเลที่ดีและจะเป็นบวกต่อธุรกิจของบ้านปู”

ปี’67 ขาดทุน 24 ล้านเหรียญ

สำหรับผลประกอบการปี 2567 บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 5,148 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 181,549 ล้านบาท) ขณะที่ EBITDA 1,330 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 46,970 ล้านบาท) กำไรจากการดำเนินงาน 83.3 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2,964 ล้านบาท) และผลขาดทุนสุทธิ 23.67 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 682.42 ล้านบาท) ซึ่งเป็นผลกระทบจากการด้อยค่าเงินลงทุนจากการขายสัดส่วนการลงทุนโรงไฟฟ้านาโกโซ ในประเทศญี่ปุ่น และการขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับเงินบาท

ในปีที่ผ่านมา บริษัทได้เสนอขายหุ้น IPO ของ BKV ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) การขายสัดส่วนการลงทุนโรงไฟฟ้านาโกโซ ในประเทศญี่ปุ่น การได้รับเงินสนับสนุนจากกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (METI) ในการพัฒนาโครงการแบตเตอรี่ฟาร์มแห่งใหม่ 2 โครงการ ในญี่ปุ่น ได้แก่ โครงการ Aizu (ไอสึ) และโครงการ Tsuno (ซึโนะ) กำลังการผลิตรวม 208 เมกะวัตต์ชั่วโมง ที่คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 2/2571 และการพัฒนาโครงการ CCUS ของ BKV ที่ชื่อว่าโครงการ Eagle Ford (อีเกิ้ล ฟอร์ด) ซึ่งคาดว่าจะสามารถกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 90,000 ตันต่อปี และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์อย่างสมบูรณ์ในไตรมาส 1/2569

“ในไตรมาส 1/68 กระแสเงินสดของบ้านปูแข็งแกร่ง ส่วนราคาก๊าซก็เริ่มกลับมาแล้ว แต่ราคาถ่านหินลดลงในช่วงแรกเพราะซัพพลายของโลกตอนนี้มีค่อนข้างเยอะ”