GGC พลิกลุยอินเดีย-แอฟริกา ปรับแผนมุ่งธุรกิจเคมีชีวภาพ

บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC
ภาพ : www.ggcplc.com

GGC เปิดตลาดใหม่มุ่งหน้าไปอินเดีย แอฟริกา เบนเข็มจากจีน หลังปักธงไปสู่ธุรกิจเคมีชีวภาพ เหตุราคาวัตถุดิบจากธุรกิจพลังงานชีวภาพตกต่ำ ต้องโฟกัสให้ถูกที่ถูกเวลา เผย 4 กลุ่มโปรดักต์ใหม่ อาหาร เครื่องสำอาง เภสัช เคมี ต้องมีพาร์ตเนอร์

นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC เปิดเผยแผนการดำเนินงานปี 2568 ว่า จะเริ่มเห็นการปรับโครงสร้างพอร์ตงานใหม่จากธุรกิจพลังงานชีวภาพ มาเป็นธุรกิจเคมีชีวภาพชัดเจนขึ้น ซึ่งเป็นการนำวัตถุต้นน้ำ คือ ปาล์ม มาผลิตตัวส่วนผสมที่จะเป็นส่วนประกอบในแต่ละโปรดักต์ 4 กลุ่ม คือ อาหารและส่วนประกอบอาหาร เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคล โภชนเภสัช และเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ ด้วยเงินลงทุน 1,500 ล้านบาท ที่จะใช้ใน 3 ปีนับจากนี้ (2568-2572)

รวมถึงใช้ในโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ ที่ร่วมกับบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ที่จะเห็นในปีนี้ด้วยเช่นกัน และคาดว่าจะทำให้มีรายได้รวมไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท โดยมุ่งสู่ธุรกิจเคมีชีวภาพจะเริ่มเน้นการทำตลาดในประเทศอินเดียและแอฟริกามากขึ้น ขณะที่สัดส่วนการส่งออกของเคมีชีวภาพปัจจุบันจะอยู่ที่ 70% และจะเริ่มใหญ่ขึ้นอีก

สำหรับการทำตลาดในประเทศจีน ซึ่งเคยเป็นตลาดหลักเพราะยังคงเป็นพาร์ตเนอร์สำคัญ จะคงสัดส่วนไว้เช่นเดิม แต่จะเปลี่ยนนโยบายการทำตลาดและเปลี่ยนวิธีการบริหารจัดการใหม่ ด้วยตลาดจีนไม่เหมือนที่อื่น มีความเฉพาะตัวสูง จำเป็นต้องใช้รูปแบบ ดูแต่ละโปรดักต์ร่วมกัน

“วันนี้โลกแบ่งเป็น 2 ฝ่าย เอากับไม่เอาจีน เราคงไม่อยู่ข้างใดข้างหนึ่งและคงจะไปทุกที่ โดยเฉพาะเคมีชีวภาพ เราจะไปให้ได้มากที่สุด เราไม่ทิ้งตลาดไหน แต่สัดส่วนตลาดไหนจะมากกว่ากัน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ณ ตอนนั้น เพราะมันจะขึ้นอยู่กับราคาด้วย สินค้าก็ยังเป็นสินค้าเดิมและมีตัวใหม่เพิ่มเข้าไป เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการจัดการ อาจจะมีเพื่อนมากขึ้นหรือชวนเพื่อนมาทำอย่างอื่นมากขึ้น เพื่อให้การขายได้กำไรสูงสุด ตอนนี้เรายังตอบไม่ได้ว่าทำกำไรในจีนเท่าไร แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือ ณ วันนั้นกำไรสูงสุดเป็นยังไงก็ยังเป็นแบบนั้น”

ในส่วนของแผนงานใหม่จะแบ่งเป็น 3 พอร์ตงาน คือ 1.โครงสร้างธุรกิจใหม่เป็นเคมีชีวภาพ ด้วยธุรกิจพลังงานชีวภาพเดิมได้รับผลกระทบจากการเข้ามาของรถ EV ความต้องการผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้และรายได้ลดลง 2.ขยายกำลังการผลิตของธุรกิจเคมีชีวภาพ โดยเฉพาะในส่วนของเคมีภัณฑ์สำหรับของใช้ในบ้านและของใช้ส่วนตัว (Home and Personal Care Product : HPC) เพราะเป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวในประเทศ

ADVERTISMENT

3.การเติบโตในกลุ่มผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษที่มีมูลค่าสูง (High Value Products : HVP) และผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน (Sustainable Products) ที่จะเพิ่มรายได้และกำไรให้กับบริษัทไม่น้อยกว่า 15% ในปี 2573 ด้วยการต่อยอดแวลูเชนให้ยาวขึ้น และหาพาร์ตเนอร์เข้ามาร่วมทุกโปรดักต์