นพรัตน์ มาลัยวงค์ เบื้องหลังปั้น ‘ไลโอ’ แบรนด์ไทยเต็มเปี่ยมศักยภาพ

ปัจจุบันตลาดผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงามในประเทศไทยมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 2.64 แสนล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือสกินแคร์ 44% ตามด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงและดูแลเส้นผมหรือแฮร์แคร์ 16.7% 

แม้ว่ากลุ่มสกินแคร์ที่มีมาร์เก็ตแชร์เป็นอันดับต้นๆ ส่วนใหญ่จะเป็นแบรนด์ดังต่างประเทศ แต่สำหรับกลุ่มแฮร์แคร์กลับพบว่า มีสินค้าแบรนด์ไทยอย่าง “ไลโอ” (LYO) ที่นับวันก็ยิ่งเติบโตและได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยหลักที่ทำให้ไลโอประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว คือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และความมุ่งมั่นในการสร้างการรับรู้ของแบรนด์ โดยการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ หนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย ที่ช่วยเสริมสร้างการรับรู้ของแบรนด์ โดยเฉพาะในแคมเปญต่างๆ ที่มี หนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย เป็นกระบอกเสียงของการขับเคลื่อนแบรนด์ อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังความสำเร็จของ LYO คือการมองเห็นโอกาสและวิสัยทัศน์ที่เฉียบคมของ “นพรัตน์ มาลัยวงค์” ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริหารของบริษัท 88(ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ที่ได้สร้างสรรค์และพัฒนาแบรนด์ LYO จนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคในตลาดไทยอย่างกว้างขวาง

โควิดจุดประกายรุกตลาดแฮร์แคร์

นพรัตน์เล่าว่า บริษัทก่อตั้งเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2558 เริ่มจากทำตลาดผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องสำอางแบรนด์ “ver.88” โดยมีแป้งดินน้ำมันเป็นฮีโร่โปรดักส์ก่อนเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์รองพื้น อายไลเนอร์ ดินสอเขียนคิ้ว บลัชออน ฯลฯ เพื่อตอบโจทย์ความสวยแบบครบถ้วน

ADVERTISMENT

มาถึงปี 2563 ธุรกิจได้รับผลกระทบจากโควิด เนื่องจากเราวางขายตามโมเดิร์นเทรดและบิวตี้สโตร์ในศูนย์การค้าซึ่งถูกล็อกดาวน์ ขณะที่พฤติกรรมผู้บริโภคสินค้ากลุ่มนี้ต้องมีการทดลองสีก่อนซื้อ ส่งผลให้ยอดขายลดลง

อย่างไรก็ตาม วิกฤตนี้กลับพลิกเป็นโอกาส เมื่อบริษัทตัดสินใจปรับกลยุทธ์และหันมาพัฒนาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น สเปรย์แอลกอฮอล์และเจลล้างมือแอลกอฮอล์ ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในช่วงเวลานั้น ทำให้บริษัทสามารถเติบโตและฟื้นตัวจากวิกฤตได้อย่างรวดเร็ว

ADVERTISMENT

โควิดยังทำให้พบอีกว่า ผู้คนมีความเครียดความกดดันจากสถานการณ์ต่างๆ ส่งผลกระทบไปถึงด้านสุขภาพ หลายคนมีปัญหาผมหลุดร่วง 

พอดีกับได้ทราบว่า ภก.ประวิทย์ ตันติสุวิทย์กุลซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและคิดค้น แชมพูและครีมนวดผม “ไลโอ” ที่วางจำหน่ายในร้านขายยา กำลังจะวางมือจากธุรกิจที่ทำอยู่ ก็รู้สึกเสียดาย เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ มีลูกค้ารู้จักพอสมควร ประกอบกับมั่นใจว่าเป็นสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในเวลานั้น ทั้งบริษัทก็มีความพร้อมที่จะขยายไลน์โปรดักส์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม จึงได้เจรจาขอซื้อแบรนด์และสูตรผลิตภัณฑ์มาทำตลาดต่อ

หลังจากนั้น จากเดิมที่ไลโอมีผลิตภัณฑ์เพียงแชมพูและครีมนวดผม บริษัทได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มลดผมร่วง คือ ‘แฮร์โทนิก’ คุณนพรัตน์ มาลัยวงค์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริหารของ 88(ไทยแลนด์) กล่าวว่า ‘การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ภายใต้แบรนด์ไลโอเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ซึ่งการเลือกใช้สารสกัดคุณภาพสูง เช่น ANAGAIN™ และส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น ว่านหางจระเข้ ที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐาน GAP จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์และสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในคุณภาพที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด’

จับมือกับพาร์ทเนอร์ จุดกระแสความปัง

ไลโอ มุ่งมั่นบุกตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ด้วยความมั่นใจในคุณภาพของสินค้า คุณ นพรัตน์ มาลัยวงค์ เชื่อว่าการให้คนที่ใช้จริงมาเล่าถึงประสบการณ์ จะช่วยให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็ว เมื่อมีโอกาสพูดคุยกับ พี่หนุ่ม กรรชัย เขาสนใจผลิตภัณฑ์ แต่ขอทดลองใช้ก่อน เพราะต้องการมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์มีคุณภาพจริง ทางแบรนด์จึงส่งผลิตภัณฑ์ให้ลองใช้ ซึ่งพี่หนุ่มบอกว่าเคยซื้อใช้มาก่อนจากร้านขายยา แต่ไม่ทราบว่าเราเป็นผู้ที่นำผลิตภัณฑ์นี้กลับมาทำตลาดอีกครั้ง หลังจากใช้ต่อเนื่อง เขารู้สึกดีกับผลิตภัณฑ์และเห็นถึงคุณภาพของสินค้า สุดท้าย พี่หนุ่มไม่ได้มาเป็นพรีเซนเตอร์ แต่เลือกเป็น “พาร์ทเนอร์” แทน ซึ่งมีส่วนร่วมตั้งแต่การทดลองสูตร และให้ความเห็นเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ เพื่อช่วยพัฒนาแบรนด์ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากที่สุด รวมถึงเป็นกระบอกเสียงให้กับแบรนด์ การร่วมมือกันครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องการตลาด แต่คือการผลักดันผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคว่า “ไลโอ” คือแบรนด์ดูแลเส้นผมที่พร้อมส่งต่อคุณภาพที่แท้จริง

ด้วยกระแสตอบรับดีเยี่ยม ผลประกอบการของบริษัทเติบโตขึ้น ปัจจุบันบริษัท 88(ไทยแลนด์) มีรายได้รวมกว่า 369 ล้านบาทในปี 2566 โดย 83% มาจากยอดขายผลิตภัณฑ์แบรนด์ LYO ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์สมุนไพร (Herbal) และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทมีรายได้ถึง 343 ล้านบาท นพรัตน์ได้กล่าวถึงปัจจัยความสำเร็จว่า มาจากคุณภาพของสินค้า พลังการตลาดแบบ 360 องศา และฟีดแบ็กจากลูกค้าผู้ใช้จริง

【ข้อมูลในปี 2566 และ 2567】

นพรัตน์กล่าวว่า “ปัจจัยแห่งความสำเร็จของไลโอเกิดจากการทำการตลาดแบบ 360 องศา ใช้แพลตฟอร์มที่หลากหลายในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ทั้งจากการโปรโมทในรายการยอดนิยม การโฆษณาในสื่อออนไลน์ และการจัดวางสินค้าที่เหมาะสม การมีผู้ใช้จริงที่ช่วยกันบอกต่อผลิตภัณฑ์ที่ได้ผล ก็เป็นการยืนยันคุณภาพของสินค้าอย่างดีที่สุด”

ในการดำเนินการทั้งหมด บริษัทไม่เคยลดต้นทุนในเรื่องคุณภาพของวัตถุดิบ โดยเลือกใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติที่มีมาตรฐานสูง เพื่อให้ลูกค้าได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและปลอดภัยตามมาตรฐานทุกประการ

ผุดแคมเปญ ‘พี่หน่วง’ สร้างกระแสคนรุ่นใหม่

ในเดือนมกราคม 2568 ที่ผ่านมา แบรนด์ไลโอได้เปิดตัวแคมเปญ “LYO x PASULOL” ร่วมกับช่องยูทูปชื่อดัง นำคาแรคเตอร์ของพิธีกรที่ได้รับความนิยมมาทำเป็นแอนิเมชั่นสนุกๆ เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและหนังศีรษะจากสมุนไพรธรรมชาติ โดยมุ่งเน้นขยายกลุ่มลูกค้าสู่วัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ พร้อมทั้งได้จัดทำผลิตภัณฑ์พรีเมียมอย่างเสื้อและกระเป๋า “พี่หน่วง” ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดี มียอดวิวรวมหลายล้านจากทุกช่องทาง

มั่นใจเป็นแบรนด์ไทยเต็มเปี่ยมศักยภาพ

ปัจจุบัน บริษัท 88(ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) มีผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม 3 กลุ่มหลัก ได้แก่:

  1. กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ภายใต้แบรนด์ “ver.88” ซึ่งเริ่มต้นจากผลิตภัณฑ์แป้งดินน้ำมัน ก่อนจะขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น รองพื้น, อายไลเนอร์, ดินสอเขียนคิ้ว และบลัชออน
  2. กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ภายใต้แบรนด์ “LYO” ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ลดผมร่วง แชมพู, ครีมนวดผม, แฮร์โทนิก, ผลิตภัณฑ์แชมพูปิดผมขาว 4 เฉดสี และผลิตภัณฑ์สูตรสมุนไพร ได้แก่ แชมพู, ครีมนวด, และทรีทเม้นท์ 2 สูตร (มะกรูด และอัญชัน) 
  3. กลุ่มสกินแคร์ ภายใต้แบรนด์ “Hone” ซึ่งได้คิดค้นและพัฒนาสูตรร่วมกับหนุ่ม กรรชัย รวมทั้งผลิตภัณฑ์เซรั่มและครีมกันแดด

บริษัทมั่นใจว่าแบรนด์ไลโอได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม และได้รับรางวัลแห่งความภาคภูมิใจมากมาย โดยเฉพาะรางวัล PM Award 2024 สาขาแบรนด์ไทยยอดเยี่ยม จากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทย

ผุุ้ก่อตั้งและกรรมการบริหาร บริษัท 88(ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ทีมเวิร์คเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้บริษัทเติบโต ทีมงานรุ่นใหม่ที่เต็มไปด้วยไอเดียและความคิดสร้างสรรค์ได้รับโอกาสในการแสดงความคิดเห็นและเราพร้อมเปิดรับฟังทุกมุมมองจากทุกคน”