
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสและเบรนต์ปรับลดลง หลังความกังวลต่อความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนมีแนวโน้มคลี่คลาย
หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์ราคาน้ำมัน บมจ.ไทยออยล์ ระบุว่าปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับราคามีดังนี้ ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสและเบรนต์ปรับลดลง หลังการหารือระหว่างสหรัฐและรัสเซียถึงมาตรการยุติสงครามในยูเครนที่ดำเนินมาถึง 3 ปี จบลงด้วยดี
โดยประธานาธิบดีปูตินเห็นด้วยกับข้อเสนอของสหรัฐที่ให้รัสเซียและยูเครนหยุดโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานเป็นระยะเวลา 1 เดือน และหากสงครามยุติลงอาจนำไปสู่การผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรต่อการส่งออกน้ำมันดิบของรัสเซีย
โดยราคาน้ำมันเวสต์เทกซัสซื้อขายเมื่อ 18 มี.ค. 68 อยู่ที่ 66.90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง -0.68 เหรียญสหรัฐ และราคาน้ำมันเบรนต์อยู่ที่ 70.56 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง -0.51 เหรียญสหรัฐ
ตลาดยังคงกังวลต่อนโยบายภาษีการค้าของรัฐบาลทรัมป์ อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและกดดันความต้องการใช้น้ำมันดิบ หลังองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) คาดการณ์ว่ามาตรการภาษีการค้าจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐ แคนาดา และแม็กซิโกชะลอตัวลง รวมถึงอาจทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงสู่ระดับ 3.1% และ 3.0% ในปี 2568 และ 2569 ตามลำดับ ซึ่งปรับลดลงจากการคาดการณ์ครั้งก่อนที่ระดับ 3.3% สำหรับทั้ง 2 ปี
หลังตลาดปิด สถาบันปิโตรเลียมด้านพลังงานสหรัฐ (API) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐประจำสัปดาห์สิ้นสุด วันที่ 14 มี.ค. 68 ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 4.59 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะปรับเพิ่มขึ้น เพียง 1.17 ล้านบาร์เรล
ราคาน้ำมันเบนซิน
ราคาน้ำมันเบนซินปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังความต้องการ ใช้น้ำมันเบนซินในสหรัฐยังคงตัวอยู่ในระดับสูง ประกอบกับฟิลิปปินส์นำเข้าน้ำมันเบนซินจากสิงคโปร์เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 0.043 ล้านตัน ณ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 13 มี.ค. 68 สะท้อนอุปสงค์น้ำมันเบนซินในฟิลิปปินส์ที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นช่วงก่อนเทศกาล Good Friday
ราคาน้ำมันดีเซล
ราคาน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้นน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังตัวเลขการนำเข้าน้ำมันดีเซลของออสเตรเลียในเดือน ม.ค. 68 ปรับลดลงกว่า 13.3% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า สู่ระดับ 15.7 ล้านบาร์เรล สะท้อนอุปสงค์น้ำมันดีเซลภายในประเทศที่อ่อนแอ อีกทั้งอุปทานในจีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หลังปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในช่วงเดือน 2 เดือนแรกของปี’68 ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 3.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า