
ราคาหมูปรับขึ้นทั่วไทย กิโลกรัมละ 2-4 บาท ยกเว้นภาคเหนือปรับขึ้นกิโลกรัมละ 1 บาท ทำราคาเนื้อหมูแตะ 86-88 บาทต่อกิโลกรัม หลังความต้องการสูง แต่ปริมาณผลผลิตต่ำลง นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรระบุ เป็นผลจากการขาดทุนอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
รายงานงานจากสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติเปิดเผยว่า วันนี้ (24 มี.ค.) สมาคมได้ประกาศปรับขึ้นราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มขึ้นทุกภูมิภาค เนื่องจากความต้องการบริโภคยังคงสูงต่อเนื่อง สวนทางกับผลผลิตที่ออกตลาดที่น้ำหนักต่ำลง โดยแต่ละภาคมีการปรับราคาดังนี้
- ภาคตะวันตก ปรับขึ้น 2 บาท/กก. จาก 84-86 บาท/กก. เป็น 86-88 บาท/กก.
- ภาคตะวันออก ปรับขึ้น 2 บาท/กก. จาก 84-86 บาท/กก. เป็น 86-88 บาท/กก.
- ภาคอีสาน ปรับขึ้น 2 บาท/กก. จาก 84 บาท/กก. เป็น 86 บาท/กก.
- ภาคเหนือ ปรับขึ้น 1 บาท/กก. จาก 85 บาท/กก. เป็น 86-88 บาท/กก.
- ภาคใต้ ปรับขึ้น 2-4 บาท/กก. จาก 84 บาท/กก. เป็น 86-88บาท/กก.
นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้ผู้บริโภคและผู้ค้าเนื้อสุกร หรือเขียงตามตลาดสดสอบถามเข้ามายังสมาคม ถึงการปรับตัวขึ้นมาของราคาสุกรหน้าฟาร์มในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาของเดือน มี.ค. 2568 อยากชี้แจงว่า อยากให้ทุกฝ่ายเข้าใจ เนื่องจากตลอดระยะเวลาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คือปี 2566-2567 ผู้เลี้ยงสุกรทั้งประเทศขาดทุนอย่างมาก มีการหยุดประกอบอาชีพสำหรับฟาร์มขนาดเล็ก
กลุ่มฟาร์มขนาดกลางลดการเลี้ยง โดยการลดจำนวนแม่พันธุ์สุกรลง 40-50% เพราะต้องทนต่อการขาดทุนจากการขายต่ำกว่าต้นทุนการเลี้ยงมาเป็นเวลานาน ทำให้ราคาเนื้อสุกรที่ผู้บริโภคคุ้นชินที่อยู่ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2567 มีระดับราคาของห้างค้าปลีกประมาณ 109-119 บาทต่อกิโลกรัม
ในกลุ่มของเนื้อแดงที่เป็นสะโพกและหัวไหล่ ที่สะท้อนกลับเป็นราคาสุกรขุนหน้าฟาร์มที่เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรขาดทุนตัวละประมาณ 500-700 บาท โดยเกษตรกรขาดทุนหนักที่สุดช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2566 ที่ประมาณ 40% หรือประมาณ 3,600 บาทต่อตัว
“ปัจจุบันราคาสุกรหน้าฟาร์มมีกำไรเพียง 13% ที่ถือว่าเป็นราคาที่มีความยุติธรรมทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค แต่สินค้าเกษตรมีความไม่แน่นอนของราคา แต่ขอยืนยันว่าการปรับราคาขึ้นแต่ละครั้งจะเป็นไปตามกลไกตลาด โดยผู้เลี้ยงสุกรให้ความร่วมมือด้วยดีกับภาครัฐเสมอมา กรณีการควบคุมระดับราคาที่จะไม่ให้สูงเกินไป “